จับตา กยท.แก้กฎหมาย บริหารยาง 4แสนล้าน เอื้อใครกันแน่?

26 มิ.ย. 2564 | 04:10 น.
อัปเดตล่าสุด :26 มิ.ย. 2564 | 04:13 น.

“ยางพารา” เป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจในท้องถิ่นของทุกภาค โดยมูลค่าตลาดยางพาราทั้งในประเทศและส่งออกตกปีหนึ่งกว่า 4 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดรายได้ต่อเกษตรกรผู้ค้า ผู้ส่งออก และอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราในวงจรที่เกี่ยวเนื่องเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีการยางแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานในการบริหารยางพาราทั้งระบบ ล่าสุดกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้ง

 

แหล่งข่าวการยางแห่งประเทศไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การยางแห่งประเทศไทยหรือ กยท. ได้ประกาศเชิญชวนร่วมแสดงความคิดเห็น ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน-15 กรกฎาคม 2564 เพื่อปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย 2558 วัตถุประสงค์ที่จำเป็นต้องปรับปรุง ตามระเบียบของกระทรวงการคลัง ซึ่งทุก 5 ปี จะมีการให้แก้ไขครั้งหนึ่ง ที่ผ่านมา ก็มีหลายสถาบัน องค์กร เกษตรกร ต่างก็เห็นว่ากฎหมายมีปัญหา อุปสรรค ดังนั้นต้องถือโอกาสนี้ในการปรับปรุงแก้ไข เพื่อเป็นของขวัญให้กับพี่น้องเกษตรกรในโอกาสครบรอบการก่อตั้งกยท.ครบ 6 ปี พร้อมก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2564  

 

ธีระชัย แสนแก้ว

 

นายธีระชัย แสนแก้ว ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับประเทศ การยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงแก้ไขพ.ร.บ.หรือกฎหมายของการยางแห่งประเทศไทย เกษตรกรชาวสวนยางส่วนใหญ่ไม่ทราบ และปกติทางเครือข่ายฯ มีประชุมทุกเดือนอยู่แล้ว ทำไมไม่แจ้งผ่านเว็บไซต์ จะมีเกษตรกรกี่คนที่เข้าถึง ตั้งคำถามว่ากฎหมายนี้ใช้มาแค่ 6-7 ปี ยังใช้ไม่เต็มศักยภาพเลย จะมาแก้อีกแล้วหรือ? ส่วนตัวมองว่ากฎหมายดีอยู่แล้ว แต่ กยท. ซึ่งเป็นผู้ถือกฎหมาย เป็นผู้ร่างระเบียบ ภายใต้กฎหมาย มีปัญหาไม่ตอบโจทย์พี่น้องเกษตรกร ดังนั้นให้ไปแก้ที่ระเบียบจะดีกว่า

อุทัย สอนหลักทรัพย์

 

ด้านนายอุทัย สอนหลักทรัพย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) และนายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กยท.เหมือน “พายเรือในอ่าง” ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2558 ร่วม 7 ปี ออกกฎหมายลูก หรือออกระเบียบส่วนใหญ่เอื้อประโยชน์เพื่อสร้างอำนาจให้กับให้ กยท.โดยอำนาจนั้นอยู่ ใน พ.ร.บ.ควบคุมยาง พ.ศ.2542 (กรมวิชาการเกษตร) มาตรา 41 อยากจะเอามาทำ แต่กฎหมายตัวเองที่ทำยังทำได้ไม่ดีเลย จะไปขอเอา พ.ร.บ.ควบคุมยางฯ มาดูแลอีก ทั้งที่ไม่จำเป็น และสามารถทำได้ง่ายนิดเดียวคือส่งเรื่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้งเป็นพนักงานเท่านี้ก็จบแล้ว

 

ตลาดส่งออกยางพารา 5 ลำดับสูงสุด

 

 

“การแก้กฎหมายครั้งนี้มองว่าส่วนหนึ่งเพื่อจะเอาเงินมาใช้โดยโยกข้ามมาตราได้ จากปัจจุบันล็อกแต่ละมาตราไว้ ตอนนี้อยู่ไม่รอดแล้ว ผมยอมไม่ได้ ในส่วนค่าบริหารเจ้าหน้าที่ ในส่วนกองทุนพัฒนายางพารามาตรา 49 (1) ได้จัดสรรจากเงินจัดเก็บเงินค่าธรรมเนียมส่งออก (CESS) ที่เก็บใน​อัตราคงที่ กิโลกรัมละ 2 บาท เพื่อใช้ในการช่วยเหลือเกษตรกร หากในส่วนนี้ไม่เพียงพอก็ต้องขอให้รัฐบาลอุดหนุน ทำไมส่วนนี้ต้องมาเบียดเบียนเงินเกษตรกรเพื่อนำไปใช้ด้านอื่น และที่สำคัญจะแก้บริหารเงินอนุมัติโดยบอร์ดอย่างเดียว ไม่ผ่านกระทรวงการคลัง ข้อนี้ก็ขอคัดค้าน”

เพิก เลิศวังพง

 

เช่นเดียวกับ นายเพิก เลิศวังพง อดีตประธานชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนยางพาราแห่ง​ประเทศไทย จำกัด (ชสยท.) กล่าวว่า กยท.ใกล้ถังแตก เป้าหมายต้องการใช้เงิน จะมาแก้กฎหมายเพื่อชาวสวนยาง ทั้งบัตรสีเขียวและบัตรสีชมพู เป็นคนสร้างกับดักขึ้นมาเอง จากก่อนหน้านี้ก่อนตั้ง กยท.มีสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) การขอทุนปลูกยางทดแทนสามารถทำได้ แต่พอเปลี่ยนเป็น กยท.มาบริหารตอนนี้ขอทุนไม่ได้แล้ว ในอนาคตหากแก้ไขให้สามารถทำได้ ก็อาจจะนำมาโชว์เป็นผลงาน อาจทวงบุญคุณได้

 

มนัส บุญพัฒน์

 

ด้านนายมนัส บุญพัฒน์ นายกสมาคมคนกรีดยางและชาวสวนยางรายย่อย (ส.ค.ย.) กล่าวว่า แบบสอบถามไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การแก้ไข พ.ร.บ.ฯ เป็นประโยชน์แก่เกษตรกร ซึ่งยังต้องประสบปัญหารายได้ต่ำกว่าต้นทุนมาโดยตลอด ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มอำนาจและผลตอบแทนของพนักงาน

 

อนึ่ง การยางแห่งประเทศไทย เกิดจากการควบรวม 3 องค์กร คือ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) และสถาบันวิจัยยาง (สวย.) เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 ภายใต้พระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558

 

ทั้งนี้วงการยางพารา ต่างจับตาในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายของ กยท.ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด จะเป็นไปตามที่วงการยางตั้งข้อสังเกตหรือไม่ หรือจะผิดคาดและส่งผลทางบวกให้ "กยท." ผงาดเป็นเสือตัวที่ 6 ของวงการยางของเมืองไทย ต้องติดตาม

 

หน้า 9 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,691 วันที่ 27 - 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง