ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินถึงธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในเมืองไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนที่พึ่งพารายได้จากคนไข้ต่างชาติ หรือ Medical Tourism ซึ่งไม่สามารถเดินทางเข้ามาใช้บริการในประเทศได้
โดยคาดว่า การระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศระลอกนี้ที่สถานการณ์ยังคงรุนแรง น่าจะส่งผลให้ภาพรวมของตลาด Medical Tourism ของไทยในปี 2564 หดตัวต่อเนื่องจากปีก่อน ไม่ต่ำกว่า 90% (YoY) หรือมีจำนวนราว 10,000-20,000 คน (ครั้ง)
ขณะที่ปี 2565 Medical Tourism อาจจะฟื้นตัวขึ้นจากฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า แต่ยังคงไม่กลับเข้าสู่ช่วงปกติก่อนเกิดโควิด จึงทำให้ยังคงมีมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวังต่อการสร้างรายได้ของธุรกิจ และการกลับมาของตลาด Medical Tourism จะเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการโควิดและการฉีดวัคซีนให้กับคนในประเทศเป็นสำคัญ
ทั้งนี้การระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่ยังอยู่ในขั้นรุนแรง ส่งผลกระทบต่อประชาชนและบรรดาธุรกิจสำหรับธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่พึ่งพารายได้จากกลุ่ม Medical Tourism จะเห็นว่า ในปี 2563-2564 โควิดทำให้รายได้ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หดตัวประมาณ 12.5%และ 11.9% ตามลำดับ
คาดว่า ในปี 2565 การบริหารจัดการโควิดในประเทศ ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพารายได้จากกลุ่ม Medical Tourism ในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ไทยถือเป็นผู้นำตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Medical Tourism ในภูมิภาคเอเชีย
โดยจำนวน Medical Tourism ที่เดินทางเข้ามารับบริการรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพในไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่มาตรวจเช็คสุขภาพ ศัลยกรรมความงาม ทันตกรรม รวมถึงผ่าตัดกระดูกและหัวใจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และสร้างรายได้ที่เป็นส่วนของค่ารักษาพยาบาลให้กับธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนไม่ต่ำกว่าปีละ 39,000 ล้านบาท หรือคืดเป็นสัดส่วนราว 24% ของรายได้โรงพยาบาลเอกชนทั้งหมด
ภายหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน อีกทั้งการระบาดมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น เห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นรายต่อวัน ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเดินทางเข้ามาของกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งรวมถึงกลุ่มคนไข้ต่างชาติที่เป็น Medical Tourism เช่นกัน
ทำให้คาดว่าจะกระทบต่อรายได้ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนที่พึ่งพารายได้จากคนไข้ต่างชาติในสัดส่วนที่สูง และด้วยสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน ส่งผลให้ในช่วง 1-2 ปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมีมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวังต่อการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงจำนวนคนไข้กลุ่ม Medical Tourism ที่จะเดินทางเข้ามารับบริการทางการแพทย์ในไทย
สำหรับตลาดคนไข้ที่คาดว่าจะหดตัวสูงน่าจะเป็นกลุ่มตะวันออกกลาง เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต โอมาน ซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น รวมถึงจีน และกลุ่มประเทศในอาเซียน เช่น เมียนมา กัมพูชา สปป.ลาว ที่สร้างรายได้ให้กับธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนคิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของรายได้คนไข้ต่างชาติทั้งหมด
เนื่องจากกลุ่มประเทศเหล่านี้จะมีทั้งที่เป็นการเดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาลในไทยโดยตรง (Direct Fly-in) และเลือกที่จะมาใช้บริการทางการแพทย์ควบคู่ไปกับการพักผ่อนท่องเที่ยว โดยบริการทางแพทย์ที่เลือกส่วนใหญ่จะไม่ซับซ้อน ไม่ต้องอาศัยการพักฟื้นและสามารถท่องเที่ยวต่อได้ เช่น ตรวจเช็คสุขภาพเบื้องต้น ทันตกรรม เป็นต้น
อย่างไรก็ดีภายหลังมีการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีมานี้ ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศของกลุ่ม Medical Tourism ทำได้ยากลำบากและต้องหยุดชะงักไป จึงส่งผลต่อรายได้ของธุรกิจที่หดตัวต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มคนไข้ต่างชาติที่ทำงานและพำนักในประเทศหรือ EXPAT
เช่น ญี่ปุ่น หรือกลุ่มยุโรปที่เดินทางเข้ามาพำนักระยะยาวในไทย หรือ Long-stay คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบเช่นกันแต่อาจจะน้อยกว่ากลุ่ม Medical Tourism
ขณะที่ปี 2565 คาดว่าจะยังคงเป็นปีที่ท้าทายและยากลำบากสำหรับธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่เจาะตลาด Medical Tourism ซึ่งการกลับมาฟื้นตัวของตลาด Medical Tourism จะเร็วหรือช้ายังคงขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการโควิดและการฉีดวัคซีนของคนในประเทศ
ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า หากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกนี้ สามารถคลี่คลายได้ภายในสิ้นปี 2564 (ตัวเลขการติดเชื้อไม่เกิน 1,000 คนต่อวัน และไม่มีการระบาดในกลุ่มคลัสเตอร์ใหม่) จึงมีความเป็นไปได้ที่กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) จะเริ่มทยอยกลับมาเข้าใช้บริการทางการแพทย์
และคาดว่า จำนวน Medical Tourism ในปี 2565 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 130,000-180,000 ล้านคน (ครั้ง) โดยส่วนใหญ่น่าจะเป็นกลุ่มคนไข้เดิมที่เข้ารับการรักษาพยาบาลหรือดูแลสุขภาพผ่านโรงพยาบาลเอกชนของไทยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกกลาง เมียนมา จีน เป็นต้น
โดยสรุปแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพารายได้จากคนไข้ Medical Tourism เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่คาดว่าจะยังคงได้รับผลกระทบจากโควิดในปี 2564-2565 ซึ่งการกลับมาของ Medical Tourism และการเป็น Medical Hub ของไทยจะกลับมาได้เร็วหรือช้านั้น ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ รวมถึงการฉีดวัคซีนให้กับคนในประเทศ
โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย ซึ่งส่วนใหญ่คนไข้ Medical Tourism จะเลือกใช้บริการทางการแพทย์ เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี (พัทยา) รวมถึงการบริหารจัดการโควิดในประเทศต้นทางที่เป็นกลุ่มคนไข้ Medical Tourism ที่สำคัญของไทย ซึ่งอาจมีผลต่อการตัดสินใจเดินทางเข้ามารักษาพยาบาลในไทยเช่นกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ด้วยสถานการณ์ในระยะข้างหน้าที่อาจจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้อีก โดยเฉพาะการระบาดของโรคอุบัติใหม่ๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ แม้ในมุมหนึ่งจะเป็นโอกาสของธุรกิจที่ผู้บริโภคหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพและต้องการรับบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพกันมากขึ้น
แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากสถานการณ์รุนแรงและขยายไปในวงกว้างจนไม่สามารถควบคุมได้ ก็อาจจะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจเช่นกัน
ดังนั้น บรรดาผู้ประกอบการธุรกิจอาจจะต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การพิจารณานำเทคโนโลยีทางการแพทย์ หรือ Health Tech เข้ามาใช้บริหารจัดการและอำนวยความสะดวกให้กับคนไข้มากขึ้น
โดยเฉพาะในกรณีที่คนไข้ไม่สามารถเดินทางเข้ามารับการรักษาในประเทศได้ รวมถึงการกระจายฐานลูกค้าที่หลากหลายทั้งในมิติของการมองหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ หรือการเจาะกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย Segment ของรายได้มากขึ้นเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง
ควบคู่ไปกับการนำเสนอบริการทางการแพทย์ใหม่ๆ เช่น การให้บริการรักษาพยาบาลโรคที่ซับซ้อนขึ้น รวมถึงโปรแกรมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันครบวงจร (Preventive care) ให้กับคนไข้ เป็นต้น