เปิดจุดต่าง "เราเที่ยวด้วยกันเฟส3" ปิดช่องโหว่กันโกง

06 ต.ค. 2564 | 04:24 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ต.ค. 2564 | 12:05 น.

เริ่มแล้ว“เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3” ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการเข้ามาลงทะเบียน ก่อนจะเปิดให้จองที่พัก-ตั๋วเครื่องบินได้ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.นี้ ซึ่งครั้งนี้จะแตกต่างจากเราเที่ยวด้วยกันเฟส 1 และเฟส 2 เพราะปิดช่องโหว่กันปัญหาการโกงกันเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

เริ่มแล้วสำหรับโครงการ “เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3” ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการที่ยังไม่เคยลงทะเบียน “เราเที่ยวด้วยกัน” มาก่อนให้เข้ามาลงทะเบียนตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 ก.ย.64 ก่อนจะเปิดให้จองโรงแรม/ที่พักและตั๋วเครื่องบินได้ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.นี้ ซึ่งโครงการในเฟส 3 จะแตกต่างจากเราเที่ยวด้วยกันเฟส 1 และเฟส 2 เพื่อปิดช่องโหว่ของโครงการในทั้ง 2 เฟสที่ผ่านมา ซึ่งเกิดปัญหาการโกงกันเกิดขึ้นหลายร้อยราย

 

ปัจจุบันโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 ได้มีการโอนย้ายหน่วยงานที่รับผิดชอบใหม่มาอยู่ภายใต้การดูแลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แล้ว โดยโครงการนี้ไม่เพียงจะส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศโดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ประชาชน 40% จำนวน 2 ล้านสิทธิ แต่ยังจุดประกายความหวังของผู้ประกอบการขึ้นมาอีกครั้ง กับความต้องการกระแสเงินสดเพื่อมาต่อลมหายใจ

 

เนื่องจากโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 1 และ เราเที่ยวด้วยกันเฟส 2 สามารถสร้างรายได้การจองให้ธุรกิจโรงแรมได้กว่า 15,174 ล้านบาท โดยเป็นการใช้จ่ายโดยประชาชน 9,351.5 ล้านบาท และรัฐสนับสนุน 5,822 ล้านบาท จากการใช้สิทธิจองโรงแรมไปกว่า 5.76 ล้านสิทธิ (จาก 6 ล้านสิทธิ) ราคาเฉลี่ยค่าห้องพักต่อคืนที่จองอยู่ที่ 2,727 บาท จากจำนวนโรงแรมที่มีการจองทั้งสิ้น 5,795 แห่ง และมีการใช้จ่ายผ่านอี-เวาเชอร์ 7,794 ล้านบาท โดย 10 อันดับของจังหวัดที่มีการใช้สิทธิสูงสุดคือ ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ กระบี่ กรุงเทพฯ ประจวบ คีรีขันธ์ ชัยภูมิ สงขลา สุราษฎร์ธานี เพชรบุรี

เราเที่ยวด้วยกันเฟส1-เฟส2

โดยเราเที่ยวด้วยกันในเฟส 1 และเฟส 2 มีประชาชนเข้ามาลงทะเบียนกว่า 8 ล้านคน และล่าสุดการเปิดลงทะเบียนเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 (เฉพาะคนที่ยังไม่เคยลงมาทะเบียนเราเที่ยวด้วยกันมาก่อน)  พบว่าในช่วงวันที่ 24-26 ก.ย.64 ณ เวลา 24.00 น.มีประชาชนเข้ามาลงทะเบียน 394,580 คนแล้ว ซึ่งประชาชนสามารถเข้ามาลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.-23ม.ค.65

 

นางสาวจุฑาทิพย์ เจริญลาภ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  กล่าวว่า “เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3” เราเดินหน้าต่อโดยอุดช่องโหว่โครงการในเฟสที่ 1และเฟสที่ 2 ควบคู่กับการดำเนินงานตามมติครม. ซึ่งททท.ได้รับช่วยเหลืออย่างดีจากทีมงานของธนาคารกรุงไทย จึงทำให้เกิดการขับเคลื่อนโครงการนี้ออกมาได้ เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 มีการปรับปรุงโครงการใหม่ จึงทำให้มีความแตกต่างไปจากเราเที่ยวด้วยกันทั้ง 2 เฟส

 

เงื่อนไขใหม่เราเที่ยวด้วยกันเฟส3

 

ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียน จะมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดรับสมัครผู้ประกอบการในวันที่ 31 ต.ค.64 เพราะเราเห็นปัญหาในเฟสก่อนหน้า คือ ถ้ามีการเปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนไปเรื่อย โดยไม่ได้กำหนดเวลาสิ้นสุดระหว่างดำเนินโครงการ ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ ในครั้งนี้เราใช้เวลาตรวจสอบผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการถึง 7 วัน ททท.ก็ต้องทำงานร่วมกับททท.ในพื้นที่ ซึ่งต้องเข้าไปลงตรวจในพื้นที่ด้วยว่าโรงแรมมีความสมบูรณ์กรอกข้อมูลตามโครงการจริงไม่ได้ใช้ข้อมูลเท็จ

รวมไปถึงมีการปรับการให้ อี-เวาเชอร์  จะอยู่ที่ 600 บาทต่อวันเท่ากันทุกวัน ขยายเวลาจองห้องพักล่วงหน้า 7 วันเพื่อให้ททท.มีเวลาในการตรวจสอบความถูกต้องให้ประชาชนจองได้ การปรับให้ใช้สิทธิได้เฉพาะการเดินทางข้ามจังหวัดเท่านั้น ห้ามใช้สิทธิภายในภูมิลำเนา  ส่วนการจองตั๋วเครื่องบินก็ให้เหมือนกับโครงการในเฟส 2 อยู่ ขณะเดียวกันก็จะปรับวิธีการจองใหม่ โดยจะเปิดให้นักท่องเที่ยวใช้สิทธิจองโรงแรมและที่พักโดยตรงกับทางโรงแรมเท่านั้น จะไม่มีการจองผ่านออนไลน์ ทราเวล เอเย่นต์ หรือ OTA อย่างที่ผ่านมา

 

ดังนั้นผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการใน 6 หมวด ได้แก่ โรงแรม/ที่พัก,ร้านอาหาร,สถานที่ท่องเที่ยว, OTOP, สปา/นวดเพื่อสุขภาพ, รถเช่า/เรือเช่า  จะต้องมีการเปิดบริการถุงเงินจากธนาคารกรุงไทย ก่อนสมัครเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com และสิ่งที่ททท.เน้นย้ำคือผู้ประกอบการต้องส่งจำนวนห้องพักที่มีและราคาห้องพักต่ำสุด-สูงสุด ให้กับททท.ด้วย ถ้าตรวจสอบคุณสมบัติครบ ประชาชนก็จะเข้าไปจองใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค.นี้เป็นต้นไป ซึ่งประชาชนต้องมีแอพพลิเคชั่นเป๋าตังด้วย

 

เนื่องจากการจ่ายเงินเราเที่ยวด้วยกันเฟส3 จะเป็นการจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชั่นถุงเงินของผู้ประกอบการและเป๋าตังของประชาชนเท่านั้น  ถ้าประชาชนมีเป๋าตัง ก็จะเข้าสู่กระบวนการจองที่พักได้โดยตรงกับทางโรงแรมและจ่ายผ่าน G wallet เท่านั้น  โดยต้องจองก่อน 7 วัน เมื่อจองห้องพักเรียบร้อย ประชาชนก็สามารถไปจองตั๋วเครื่องบินได้ หรือไม่จองก็ได้ และเมื่อเดินทางท่องเที่ยววันที่เข้าไปเช็คอินในโรงแรมที่พัก ต้องมีการสแกนใบหน้าในวันที่ไปเช็คอิน ซึ่งต้องสแกนผ่านถุงเงินและเป๋าตังเท่านั้น จากนั้นจะได้รับคูปอง 600 บาทเมื่อเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ส่วนในวันที่เช็คเอ้าท์ คนที่จองตั๋วเครื่องบินก็ต้องไปกรอกข้อมูลสำหรับการใช้สิทธิตั๋วเครื่องบินผ่าน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com ก็จะได้รับเงินคืนค่าตั๋วเครื่องบิน

 

เราเที่ยวด้วยกันเฟส3

 

“การสแกนใบหน้าถ้าไม่ผ่าน อาจเกิดขึ้นได้ในกรณีหากระบบมีปัญหา ซึ่งธนาคารกรุงไทยแจ้งว่าอาจจะมีได้คิดเป็นสัดส่วน 3% หรือราว 1 ล้านราย ซึ่งจะมีระบบให้ทางโรงแรมสามารถกดยืนยันได้ว่าเป็นลูกค้าที่มาใช้สิทธิจริง แต่การรับเงินสนับสนุนจากรัฐ 40% จะต้องไปผ่านกระบวนการตรวจสอบของททท.ซึ่งมีระยะเวลาตรวจสอบราว 30 วันที่อาจทำให้การรับเงินของผู้ประกอบการล้าช้าไปบ้าง แต่ถ้ามีโอกาสสแกนใบหน้า ก็มีเวลาสแกนใบหน้าได้ถึงเที่ยงคืนของวันที่ลูกค้ามาเช็คอิน และการรับอี-เวาเชอร์ 600 บาทไปแล้ว เรายังมีกระบวนการตรวจสอบการเข้าพักโดยททท.สำนักงานสาขา ตำรวจท่องเที่ยว จะเข้าไปดูระบบการจ่ายเงินผ่านอี-เวาเชอร์นี้”

 

สำหรับโรงแรมที่สมัครเข้าร่วมโครงการแล้วจะไม่สามารถยกเลิกการเข้าร่วมโครงการได้ แต่ในกรณีที่มีเหตุประชาชนไม่สามารถใช้บริการได้จากที่จองไว้เดิม  โรงแรมต้องให้สิทธิคืนเงินหรือเลื่อนวันเดินทางได้  นอกจากนี้โรงแรมจะต้องมีหน้าที่ในการตรวจสอบด้วยว่าผู้เข้าพักกับคนที่จองใช้สิทธิเป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่ เพราะถ้าพบว่ามีการร่วมทุจริตหรือไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ก็จะถูกลงโทษทางอาญาและดำเนินคดีตามกฏหมายด้วย เพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อได้โดยปิดจุดอ่อนต่างๆ ในอดีตที่เกิดขึ้นนั่นเอง

 

หน้า 14-15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,718 วันที่ 30 กันยายน - 2 ตุลาคม พ.ศ. 2564