รวมถึง “คุณทิม-ยศกร นิรันดร์วิชย” CFA กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด (StashAway) ซึ่งพบเจอกับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ตั้งแต่ยังเรียนในระดับมหาวิทยาลัย จนทำให้เกิดความสนใจ และใฝ่รู้กับการเงินและการลงทุนอย่างเต็มที่
ก่อนที่จะร่วมงานกับ สแทชอเวย์ “ยศกร” มีประสบการณ์มากมาย ในสายการเงินการลงทุนโดยเฉพาะการเป็นที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ธุรกิจให้กับผู้บริหารระดับสูง
“ยศกร” มองเห็น Pain Point ของคนไทย ที่ถือเงินสดมากถึง 40-50% ของสินทรัพย์โดยรวม ซึ่งถือเป็นความเสี่ยง เพราะค่าของเงินจะลดลงเรื่อยๆ ตามภาวะเงินเฟ้อในแต่ละปี และสิ่งที่สำคัญคือ คนไทยกับเรื่องการเกษียณ หากเก็บเป็นเงิดสด เงินจะโตไม่ทันใช้ ซึ่งอันนี้ประเทศไทยมีปัญหามาก
อีกหนึ่ง Pain Point ที่สำคัญของคนไทยคือ การลงทุนที่กระจุกตัวอยู่ในประเทศ เป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียเลยทีเดียว และนั่นคือความเสี่ยง เพราะการลงทุนในไทยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุุนในอุตสาหกรรมเก่า เช่น น้ำมัน อาหาร รีเทล ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศ จะมีอุตสาหกรรมที่เป็นอนาคตและเติบโตเร็ว เช่น เทคโนโลยี สุขภาพ พลังงานสะอาด ถือเป็นการกระจายความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น
นี่คือ pain point ที่ “ยศกร” เห็น และเมื่อมีโอกาสพูดคุยกับซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งของสแทชอเวย์ ซึ่งมีความคิดเห็นตรงกัน มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ต้องการให้บริการที่ตอบโจทย์ pain point ทั้ง 2 ข้อ รวมทั้งยังมีแนวคิดและวิธีการทำงานที่สอดคล้องกัน เขาจึงได้เข้าร่วมงานและเริ่มเป็นผู้มีส่วนสร้าง สแทชอเวย์ ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2563 โดย สแทชอเวย์ เป็นสตาร์ทอัพผู้สร้างแพลตฟอร์มบริหารการลงทุน (Digital Wealth Management Platform) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสิงคโปร์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2559 และมีการเติบโตอย่างรวดเร็วจนปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท ภายในระยะเวลาน้อยกว่า 4 ปี
“การเลือกทำงานกับที่นี่ เพราะมองว่า เราเชื่อโปรดักต์ของเขา และผมได้สร้างอะไรใหม่ๆ และมีส่วนในการแก้ปัญหาของไทย ผมวิเคราะห์ทีมงาน เรามีแนวทางการทำธุรกิจที่เหมือนกัน เป็นแนวทางการทำธุรกิจที่ตรงไปตรงมา ขาวสะอาด”
ด้วยความเชื่อมั่นในองค์กรและโปรดักต์ “ยศกร” จึงเดินหน้าเริ่มสร้างรากฐานให้กับ สแทชอเวย์ ประเทศไทย ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นและทำให้สแทชอเวย์ เป็นที่ยอมรับของนักลงทุนไทย
เมื่อมีความเชื่อมั่น “ยศกร” ก็ลุยเต็มที่ นักบริหารหนุ่มคนนี้ บอกว่า ในแง่โปรดักต์ เชื่อว่าสามารถตอบโจทย์นักลงทุนได้ ทั้งในแง่ความจริงใจ และการทำให้การลงทุนเป็นเรื่องที่ง่าย ได้ประสบการณ์ที่ดี ด้วยการออกแบบการลงทุนแบบเฉพาะบุคคล โดยมีผลงานที่ผ่านมาจากหลายๆ ประเทศเป็นเครื่องช่วยการันตี และการร่วมพาร์ทเนอร์กับสถาบันการเงินขนาดใหญ่อย่างกสิกรไทย ผู้เข้ามาทำหน้าที่รับฝากทรัพย์สิน ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นได้ว่า เงินของเขาจะปลอดภัย
อีกส่วนที่สำคัญคือ เทคโนโลยี ที่ สแทชอเวย์ ให้ความสำคัญมากๆ อาทิ การทำ 3 แบ็คอัพไซด์ ที่ช่วยให้ระบบทุกอย่างปลอดภัย เรียกว่าบริหารปิดความเสี่ยงอย่างเต็มที่
ส่วนการก่อร่างสร้างองค์กร เขาเริ่มตั้งแต่การเลือกคนเข้าร่วมงาน ทุกตำแหน่งสัมภาษณ์กันเยอะมาก ยาวมาก คนต้องมีศักยภาพจริงๆ และเขาต้องไฟ มีแรงจูงใจ (Motivation) และเชื่อในองค์กร เมื่อได้คนที่ใช่แล้ว ก็ต้องให้เข้ามาความรับผิดชอบให้ได้มากที่สุด ถ้าเขามีความรู้สึกเป็นเจ้าของและได้รับผิดชอบมาก จะทำให้เขาเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัท (Ownership Mindset) จะทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่ต้องทำคืออะไร โดยทีมงานสามารถกำหนดวิธีการทำงานของเขาเองได้ ภายใต้ซัพพอร์ตซีสเต็มที่ดีจากองค์กร...เราโฟกัสที่ผล มากกว่า กระบวนการทำงาน และพวกเราพร้อมซัพพอร์ตกันมากๆ
“หลังจากนั้น เราต้องให้ความยืดหยุ่นกับทีมงาน เช่น พนักงานของเรา ลากี่วันก็ได้ เราไม่กำหนดวันลา เพราะเราได้คนที่มีความรับผิดชอบแล้ว เขาก็กำหนดวันลาของตัวเขาเองได้เลย และให้เขาไปทำงานที่ไหนก็ได้บนโลก 8 อาทิตย์ต่อปี และมีงบการเรียนรู้ สองหมื่นกว่าบาทต่อปี เขาอยากเรียนรู้อะไร ก็ไปเรียนเลย”
“ยศกร” ย้ำว่า สแทชอเวย์ เป็นองค์กรที่มี Growth Mindset มากๆ ทุกคนคิดว่าตัวเองยังสามารถดีขึ้นได้อีกเสมอ เรายังเป็น Work in progress ที่ยังต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
ขณะนี้ ธุรกิจของสแทชอเวย์ในประเทศไทย ยังถือเป็นช่วงก่อร่างสร้างตัว แต่เขาก็เชื่อมั่นว่า สแทชอเวย์ จะสามารถเติบโตได้แบบก้าวกระโดด ด้วยความหวังที่อยากก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งหรือสอง ภายในระยะเวลาสองปีในวงการธุรกิจนี้ เพราะการลงทุนในต่างประเทศ มีการเติบโตมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากปี 2563 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 8.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.5% จากปี 2562 ขณะที่ตัวเลขนักลงทุนที่ออกไปลงทุนต่างประเทศแบบรายบุคคลเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 8,971 คนในเดือนพฤศจิกายนปี 2562 เป็น 15,660 ในเดือนพฤศจิกายนปี 2563 และโตขึ้นเท่าตัวเป็น 34,897 ในเดือนพฤษภาคมปี 2564
เพราะฉะนั้น หาก “ยศกร” สามารถทำให้คนไทยเชื่อมั่นว่า “สแทชอเวย์” จะเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์เพื่อนคู่คิดที่จริงใจกับนักลงทุนได้ การก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งหรือสองอย่างที่วาดหวัง ก็ไม่น่าจะยากเกินไป
หน้า 16-17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,722 วันที่ 14 - 16 ตุลาคม พ.ศ. 2564