ประเมินผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาต่อเนื่อง ล่าสุด “สมาคมผู้ค้าปลีกไทย” ออกมาเปิดเผยว่า การระบาดของโควิดในช่วงเวลาเกือบ 2 ปี มีคนไทยติดเชื้อรวม 1.85 ล้านราย และยังส่งผลให้มูลค่าค้าปลีกและบริการสูญหายกว่า 8 แสนล้านบาท
มีคนว่างงานและผู้เสมือนว่างงาน (ผู้ที่ทำงานไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) และแรงงานนอกระบบ เพิ่มขึ้นประมาณ 3.2 ล้านคน หนี้ภาคธุรกิจและครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เงินออมและเงินใช้จ่ายในกระเป๋าทุกภาคส่วนลดน้อยลง ดังนั้นการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศภูมิภาคอาเซียนที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำสุด และยังมีแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่ลึกและกว้าง เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ได้รับผลกระทบจากโควิด รัฐบาลจึงต้องเร่งเครื่องเพื่อผลักดันให้ฟื้นตัวโดยเร็วจากปัจจุบันที่จีดีพีติดลบอย่างต่อเนื่อง การวางกลยุทธ์และแผนรองรับในการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว
“แนวทางของการฟื้นฟูจึงควรต้องเริ่มจากการกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนไปจนถึงการวางรากฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน”
ทั้งนี้ สมาคมขอนำเสนอแนวทาง “ 7 S Recovery ” เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยโดยเร่งด่วน ดังนี้
โดยรวมแล้ว S แรก จะสามารถสร้างเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จากนี้ไปจนถีงเดือนมิถุนายน 2565 ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านล้านบาท หรือราว 10% ของ GDP
2. Support Employment การแพร่ระบาดของโควิดส่งผลกระทบต่อการจ้างงานโดยเฉพาะภาคการค้าและบริการที่มีการจ้างงานกว่า 11.2 ล้านคนและส่วนใหญ่ก็เป็นแรงงานนอกระบบ ซึ่งคาดว่าแรงงานในกลุ่มนี้จะมีคนว่างงานและผู้เสมือนว่างงาน (ผู้ที่ทำงานไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) ไม่น้อยกว่า 3.2 ล้านคน ภาครัฐต้องมีนโยบาย
3. Strengthen SME จากข้อมูลของ สสว. พบว่า จำนวน SME ทั่วประเทศ มีกว่า 3,070,177 ราย ซึ่ง 44.58% อยู่ในภาคการค้าปลีก และ 35.73% อยู่ในภาคบริการ อาหารและเครื่องดื่ม รัฐต้องจัดหาแหล่งเงินทุนอย่างเร่งด่วน เพื่อพยุง SME เหล่านี้ ให้อยู่รอด โดยเฉพาะ SME ขนาดย่อม ควรมีมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ให้กับ SME รายที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพื่อให้ธุรกิจกลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว
4. Speed Up Digital Economy รัฐบาลต้องมีนโยบายในการลดกฎระเบียบ และพัฒนาระบบ Cloud Computing, AI และ Data Center ให้พร้อมรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น รัฐและเอกชนต้องร่วมกันสร้างวงจรบวกในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้กับผู้ที่อาจยังไม่คุ้นเคยกับโลกออนไลน์
5. Simplify Regulation ปรับกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่จะช่วยให้การประกอบธุรกิจง่ายและสะดวกมากขึ้น (Ease of Doing Business) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้โดยตรง และลดค่าเสียโอกาสของธุรกิจได้ถึง 1.3 แสนล้านบาทต่อปี หรือ 0.8% ของจีดีพีไทย การแก้ไขกระบวนการดังกล่าวจะเป็นการฟื้นเศรษฐกิจได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
6. Sustainable Public Health ระบบสาธารณสุขเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญและละเลยไม่ได้
7. Spike Up Private Investment ภาครัฐต้องมีการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพราะจะทำให้เกิดการผลิตและการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การบริโภคของประชาชนขยายตัวได้อย่างทันทีและจะนำไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
“สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เล็งเห็นว่านี่คือช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นโค้งสุดท้ายของวิกฤตโควิดและเป็นโค้งแรกแห่งความหวังใหม่ของเศรษฐกิจไทย ดังนั้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในปัจจุบันจึงต้องมองข้ามช็อตถึงอนาคต มากกว่าการพึ่งพาการเยียวยาเพียงอย่างเดียว ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยกลยุทธ์ที่เข้มแข็ง ลงมือปฏิบัติจริงจังและทันที
เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับโควิดอย่างไม่ประมาทบนพื้นฐานของมาตรการความปลอดภัย เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคัก พร้อมสำหรับการเปิดประเทศต้อนรับทุกคนอย่างไร้กังวล”