หลังศบค. ประกาศคลายล็อกดาวน์ให้โรงภาพยนตร์กลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้ง ภายใต้มาตรการสาธารณสุขแบบยูนิเวอร์เซล ทำให้ผู้ประกอบการเร่งนำหนังออกฉาย โดยเฉพาะหนังฟอร์มยักษ์ที่อั้นมานาน ล่าสุดพบทั้งพยัคฆ์ร้าย 007 และ Fast & Furious 9 โกยยอดขายสนั่น
นายนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความสำเร็จของภาพยนตร์ Fast & Furious 9 ถือว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าในการกลับมาใช้บริการ เป็นสัญญาณที่ดีที่ธุรกิจโรงภาพยนตร์ยังเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของความบันเทิงสำหรับคนไทย
ที่คิดถึงอรรถรสของความสุขกับการชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ทั้งภาพและเสียงที่สมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้า เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้มีการจัดแคมเปญการตลาดและโปรโมชั่น ตลอดจน ได้ร่วมมือกับพันธมิตรคืนกำไรให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนี้จะมีภาพยนตร์ที่เป็นคอนเทนต์หลักที่น่าสนใจเข้าฉายในช่วง 2 เดือนส่งท้ายปี ในเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2564 จะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าฉายอีกหลายเรื่องให้ได้ชมอย่างต่อเนื่อง อาทิ Spider-Man : No Way Home, Venom : Let There Be Carnage, The Matrix Resurrections, The King's Man คาดจะดึงคอหนังเข้ามาชมในโรงภาพยนตร์ได้อย่างดี
โดยตั้งแต่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่มีการฉายภาพยนตร์พบว่า หนังฟอร์มยักษ์อย่าง “No Time To Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ” ทำรายได้ทั่วประเทศไปแล้วกว่า 50 ล้านบาท ขณะที่ Fast & Furious 9 เร็ว...แรงทะลุนรก 9 จากค่ายยูไอพี ประเทศไทย กระแสเปิดตัวแรงเกินคาดกวาดรายได้กว่า 80 ล้านบาท จากการฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศเพียงแค่ 7 วัน
นายปัณณทัต พรหมสุภา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด กล่าวว่า Fast & Furious 9 เป็นภาพยนตร์มหาชนที่มีผู้ชมชาวไทยรอชมอยู่ทั่วประเทศ แม้ว่าจะออกฉายในโรงภาพยนตร์หลายประเทศทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน มาตั้งแต่เดือนมิถุนายนแล้ว และมีบริการพรีเมี่ยมวิดีโอออนดีมานต์ รวมถึง มีการวางจำหน่ายดีวีดีในต่างประเทศแล้ว
แต่ฟาสต์ก็ยังเป็นหนังที่แฟนๆ ต้องรอดูในโรงภาพยนตร์ เพราะให้อรรถรสทั้งภาพและเสียงที่สมบูรณ์แบบ และมอบความสนุกให้กับผู้ชมทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ โดยเฉพาะหนังพากย์ไทยที่เราได้ทีมพากย์มืออาชีพ ที่ทำให้หนังทั้งสนุกและมันส์อย่างเต็มที่
โดยล่าสุดผลการสำรวจพบว่า รายได้จากหนังพากย์ไทยมีสัดส่วนมากกว่า 70% และได้รับการสนับสนุนจากแฟนฟาสต์ในต่างจังหวัดอย่างเกินความคาดหมาย คาดการณ์ว่าในปีนี้ บริษัทจะสามารถทำรายได้รวมมากกว่า 200 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 130% จากปี 2563 จากหนังที่เข้าฉายมาตั้งแต่ต้นปี
รวมทั้งหนังภาคต่อสุดฮิตอย่าง A Quiet Place 2 ดินแดนไร้เสียง 2 ที่ทำรายได้จากการเข้าฉายเฉพาะในต่างจังหวัดและปริมณฑลได้มากกว่า 15 ล้านบาท รวมถึงหนังระทึกขวัญอย่าง Halloween Kills และ Last Night in Soho รวมถึงหนังสำหรับครอบครัวอย่าง Paw Patrol : The Movie, The Boss Baby : Family Business, The Addams Family 2 และ Sing 2 รอคิวฉายในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมนี้