กลุ่มธุรกิจค้าปลีกภายใต้ชื่อ “ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป” เป็นอีกหนึ่งธุรกิจของ “เสถียร์ เศรษฐสิทธิ์” เจ้าพ่อคาราบาว กรุ๊ป ที่วันนี้มอบหมายให้ “วีรธรรม เศรษฐสิทธิ์” ทายาทคนโต นั่งเก้าอี้คุมบังเหียนเต็มตัว ซึ่งจะว่าไปแล้ว ฝีไม้ลายมือ ถือเป็น “ลูกไม้ใต้ต้น” ขาดเพียงประสบการณ์ที่ต้องอาศัยเวลาในการสั่งสม
“ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “วี-วีรธรรม เศรษฐสิทธิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จํากัด หลังนำทัพลุยค้าปลีกมาได้เกือบ 1 ปี ที่แม้จะต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 แต่เขาถือว่า เป็นอีกช่วงเวลาที่ทำให้ได้เรียนรู้ และต้องปรับตัวให้เร็ว
ปั้นโมเดลใหม่
“วีรธรรม” บอกว่า สำหรับซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีสถานการณ์โควิดบริษัทยังคงรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 30-40% และคาดว่าปีนี้จะสามารถปิดรายได้กว่า 2 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ราว 1.8 หมื่นล้านบาท รวมทั้งมีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ปีนี้ขยายสาขาไปแล้วกว่า 170 สาขา และคาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมีสาขารวม 750 สาขา
ขณะที่ในปี 2565 มีแผนขยายสาขาเพิ่ม 250 สาขาในโมเดลของ “ซีเจ มอร์” (CJ MORE) ซึ่งเป็นโมเดลที่รวมร้านค้าใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ราว 10 ไร่ ใช้งบลงทุนราวๆ 10-15 ล้านบาทต่อสาขา เน้นขยายสาขาในกรุงเทพ 10% และต่างจังหวัด 90% เนื่องจากศักยภาพของซีเจ มอร์สามารถเติบโตในระดับอำเภอ ซึ่งบริษัทวางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นร้านประจำอำเภอให้ได้
“มองว่าในอนาคต Mall น่าจะไปได้ทั้งประเทศ Mall ในรูปแบบเดิมเพียงพอที่จะทำให้ CJ MORE พอไปได้แต่ไม่คุ้มค่า ต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างการรับรู้พอสมควร บวกกับมีผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดจำนวนมาก เราต้องปรับตัวตลอดเวลาเพิ่มส่วนร้านอาหาร คาเฟ่ เครื่องสำอางเข้ามาตลอดช่วง 2 ปี ซึ่งเรามองว่ายังไม่พอ เพราะหลังๆ มาคู่แข่งก็เริ่มทำตาม
โมเดลใหม่ที่กำลังจะเริ่มขยายในเดือนนี้ ซึ่งจะมีสาขาต้นแบบเปิดแห่งแรกที่รังสิต คลอง 4 ในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ จะเป็นโมเดลที่คิดว่าน่าจะตอบโจทย์ผู้บริโภคกว่าเดิมทั้งในส่วนของ UNO และ A-Home และทำให้ทราฟฟิกเพิ่มขึ้นประมาณ 1 เท่าตัว และรายได้เติบโตอย่างน้อย 3 เท่าตัวหากโมเดลใหม่ประสบความสำเร็จ”
ปักหมุด 1,700 สาขาใน 3 ปี
ขณะที่แผนในระยะยาว 3 ปีนับจากนี้ “วีรธรรม” บอกว่า จะเดินหน้าขยายสาขาให้ได้มากที่สุด 1,500-1,700 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่ 750 สาขา ขณะที่รายได้จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็น “ชาเลนจ์” สำคัญที่ต้องเดินหน้า
โดยเป้าหมายวันนี้ “วีรธรรม” มองว่า ต้องการสร้างแตกต่างให้กับห้างค้าปลีกในตลาด โดยการเพิ่มสินค้าไลฟ์สไตล์นำเข้าจากจีน ไต้หวัน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ “อูโนะ” (UNO) ซึ่งเดิมเป็นโซนสินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าแฟชั่น เครื่องเขียนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เน้นดีไซน์ทันสมัย
เหมาะสำหรับกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน กลายเป็นช้อปที่มีความแข็งแรงในระดับหนึ่งและมีโอกาสขยายออกนอกซีเจ มอร์ ในรูปแบบ สแตนด์อะโลนและผูกเข้ากับออนไลน์ได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ความคืบหน้าภายใน 2-3 ปี
จับมือ Disney สลัดลุคภูธร
ล่าสุดบริษัทจับมือกับ เดอะ วอลท์ ดิสนีย์ (ประเทศไทย) ภายใต้กลยุทธ์ Inter Brand Collaboration ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถทำให้ UNO และ CJ MORE สลัดลุคภูธรและมีความเป็นแบรนด์ระดับประเทศ ซึ่งในอนาคต บริษัทมีแผนวางตัวเองเป็น Sourcing ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยความร่วมมือล่าสุดเป็นการจัดแคมเปญ “ช้อป UNO แฮปปี้กว่าเดิม” นำลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์การ์ตูนดัง Disney มาจัดทำเป็นคอลเลคชั่นพิเศษ
พร้อมเปิดตัวบัตรสกายการ์ด ลาย Disney ซึ่งเป็นลิมิเต็ด เอดิชั่น และรถ Truck Show ภายใต้แบรนด์ UNO เพื่อช่วยเพิ่ม Traffic ลูกค้าเดิมและขยายกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ เด็ก และครอบครัว รวมถึงช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับ CJ MORE และแบรนด์ UNO ด้วย
“มองว่า UNO สามารถสปินออฟไปเป็นสแตนอะโลนได้ จากเดิมสินค้าใน UNO โตและแข็งแรงมากในโกรเซอรี่ แต่ขาดเสน์ห์ในการเดิน เราจึงอยากให้มีสินค้าไม่จำเป็นเข้ามาเติมในร้านเพื่อให้ทราฟฟิกและยอดเพิ่มขึ้น เดิมลูกค้าของ CJ MORE จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่มาก แต่หลังจากนี้เราตั้งกลุ่มเป้าหมายให้มีความเป็นเมืองมากขึ้น ปีหน้าจะขยายฐานลูกค้าให้เด็กลง การมีสินค้าร่วมกับ วอลท์ ดิสนีย์ จะทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เปลี่ยนไปและได้ทราฟฟิกใหม่ๆ รวมทั้งโอกาสในอนาคต”
หน้า 14-15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,739 วันที่ 12 - 15 ธันวาคม พ.ศ. 2564