“เสถียร เศรษฐสิทธิ์” ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง เมื่อนำพา “คาราบาว กรุ๊ป” สยายปีกไปทั่วโลก และยังผงาดในธุรกิจค้าปลีกเมื่อ “ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป” ฝ่ากระแสโควิด-19 กวาดยอดขายกว่า 2 หมื่นล้านบาท เติบโต 35% ทำกำไรเติบโต 50% สวนทางยักษ์ค้าปลีกรายอื่นๆ ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากอะไร
หลักสูตร Digital Transformation for CEO รุ่นที่ 3 หรือ DTC#3 จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ได้รับเกียรติจาก “เสถียร เศรษฐสิทธิ์” ประธานกรรมการ บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ขึ้นเวทีบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “ส่องกลยุทธ์ค้าปลีกไทยภายใต้แรงกดดันที่ไม่เหมือนเดิม”
“เสถียร” บอกว่า ทุกธุรกิจต้องเผชิญกับภัยคุกคามจาก “โควิด-19” ทำให้เจอกับแรงกดดันที่คาดไม่ถึง ซึ่งโรคระบาดนี้ทำให้รู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้เหมือนเช่นเคย ขณะที่ความท้าทายที่เกิดขึ้นคือ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็น กินช้อปใกล้บ้าน, ต้องการความสะดวกสบาย ครบจบที่เดียว และให้ความสำคัญกับเรื่องของราคาและความคุ้มค่า นอกจากนี้ยังพบว่า ค้าปลีกสมัยใหม่ประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต กำลังหดตัวลง
ขณะที่ค้าปลีกทั้งไฮเปอร์มาร์เก็ต คอนวีเนียนสโตร์ รวมถึงดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ หดตัวจากพิษโควิด-19 แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตและอี-คอมเมิร์ซกลับมีการเติบโต และจากประสบการณ์จากการทำคาราบาว กรุ๊ป ทำให้รู้จักและคุ้นเคยกับค้าปลีกทั้งสมัยใหม่และดั้งเดิมอย่างโชห่วย
หลังเข้าซื้อกิจการของซี.เจ เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป และเข้าบริหารทำให้รู้ว่า ธุรกิจค้าปลีกยังมีศักยภาพ วันนี้ซี.เจ เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป กำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งจากเดิมที่มี “ซี.เจ ซูเปอร์มาร์เก็ต” ร้านสะดวกซื้อ แต่ ในอนาคตจะเดินหน้าในโมเดล “ซีเจ มอร์” (CJ MORE) และ ถูกดี มีมาตรฐาน ภายใต้แนวคิด “สินค้าดี ราคาถูก ของครบ ใกล้บ้าน”
โดย “ซีเจ มอร์” โมเดลใหม่จะมีรูปแบบที่ครบครันทั้งโซนสุขภาพและความงาม “นายน์ บิวตี้” (Nine Beauty) “บาว คาเฟ่” (Bao Café) ร้านกาแฟ “อูโนะ” (UNO) โซนสินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าแฟชั่น เครื่องเขียน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ “เอ-โฮม” (A-Home) โซนสินค้า D.I.Y. อุปกรณ์เครื่องมือช่าง อุปกรณ์ทำสวน อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ประปา อุปกรณ์ดูแลรถ อุปกรณ์ของใช้ในครัว ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก
ด้วยความหลากหลายนี้เองที่จะเติมเต็มและดึงลูกค้าหลากกลุ่ม หลายวัยให้เข้ามาซื้อสินค้าได้ตลอดเวลา ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายและกำไร ซึ่งปัจจุบัน “ซีเจฯ” มีร้านค้าปลีกรวม 700 สาขา และจะขยายเพิ่มอีก 250 สาขาในปีหน้า ในโมเดล “ซีเจ มอร์” ซึ่งมีสาขาต้นแบบที่จรัญสนิทวงศ์ 13
ขณะเดียวกันจะเดินหน้าร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” ซึ่งเดิมเป็นร้านโชห่วย ที่ประสบปัญหาหลายด้านทำให้ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ มาพัฒนาเป็นร้านค้าปลีกในชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน โดยอาศัยจุดแข็งที่มีไม่ว่าจะเป็น มีร้านค้าอยู่แล้ว, มีฐานลูกค้าเดิม และมีพลังความเป็นเจ้าของ ด้วยการเข้าไปปรับเพิ่มจำนวนสินค้า ตกแต่งร้านค้าให้มีความทันสมัย และนำเทคโนโลยีเข้าไปเสริม
“ปัจจุบันร้านถูกดี มีมาตรฐาน มีสินค้ามากกว่า 2,000 รายการ ปัจจุบันมีอยู่ 2,200 ร้าน คาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมีร้านเพิ่มเป็น 2,500 ร้านค้าและมีร้านโชห่วยที่รอเข้าร่วมอีก 2,500 ร้านค้า โดยในปีหน้าตั้งเป้าหมายที่จะเปิดเพิ่มให้ได้ 2 หมื่นร้านค้า และเป็น 4 หมื่นร้านค้าในปี 2566”
สุดท้าย “เสถียร” ย้ำว่า คีย์ซัคเซสของร้านถูกดี มีมาตรฐานคือ พลังความเป็นเจ้าของและเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยเสริม ซึ่งวันนี้ธุรกิจของคาราบาว กรุ๊ปและซี.เจ เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จะเปลี่ยนโฉมการแข่งขันในประเทศไทย เพราะทุกคนจะโตไปด้วยกัน