“เวลเนส ทัวริสซึ่ม”ยูนิคอร์นใหม่ ท่องเที่ยว ยุคโควิด

14 ม.ค. 2565 | 07:27 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ม.ค. 2565 | 14:41 น.

โควิด-19เป็นตัวกระตุ้นให้กระแสรักสุขภาพมาเร็วขึ้น หลายธุรกิจจึงหันมาจับธุรกิจด้าน "เวลเนส ทัวริสซึม"มากขึ้น ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจด้านสุขภาพทั่วโลก มีอัตราการเติบโตขึ้นมากเป็น 2 เท่าของค่าเฉลี่ย GDP ทุกปี โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 4 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ

ก่อนเกิดโควิด-19  “เวลเนส ทัวริสซึ่ม” เป็นที่จับจ้องอยู่แล้ว แต่เมื่อเกิดโควิดขึ้นมา ก็เป็นตัวกระตุ้นให้กระแสรักสุขภาพมาเร็วขึ้น หลายธุรกิจจึงหันมาจับธุรกิจด้านสุขภาพมากขึ้น ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจด้านสุขภาพทั่วโลก มีอัตราการเติบโตขึ้นมากเป็น 2 เท่าของค่าเฉลี่ย GDP ทุกปี โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 4 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ

 

สาเหตุที่คนต้องการดูแลสุขภาพมากขึ้น หลักๆ เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.คนเป็นโรคอ้วนมากขึ้น และโรคอ้วนเป็นอันตรายต่อชีวิตพอมีโควิด 2.ปัจจุบันคนเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง  ปัญหาสุขภาพจิต  ความดัน และเมื่อต้องเจอโควิด คนก็เริ่มใส่ใจดูแลสุขภาพขึ้นกว่าเดิม 3.การเข้าสู่สังคมสูงวัย ซึ่งค่าเฉลี่ยทั่วโลกคนที่อายุเกิน 60 ปี ปัจจุบันมีราว 13.5% และในปี 2573 จะอยู่ที่ 16% เฉพาะในไทยปีนี้อยู่ที่ 20% หรือราว 13 ล้านคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก และในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือปี 2557 ไทยจะมีผู้สูงวัย 28% และจะทำให้เราเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มตัวในอีก 10 ปีข้างหน้า

เทรนด์การท่องเที่ยวในกลุ่มซิลเวอร์ เอจ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป จึงเป็นกลุ่มที่สร้างโอกาสให้การท่องเที่ยว เพราะมีเงิน มีเวลา และอยากหาความสุขใส่ตัวเอง โดยเฉพาะด้านเวลเนส เพื่อให้ตัวเองป่วยช้า แก่ช้า และเสียชีวิตแบบไม่ทรมาน ไม่อยากนั่งรถเข็น ไม่อยากนอนติดเตียง ไม่อยากเป็นภาระของลูกหลาน ไม่เหมือนในอดีตที่จะเก็บเงินให้ลูกหลานและไม่ใช้เอง

 

ทั้งนี้มูลค่าตลาดรวมธุรกิจสุขภาพทั่วโลกจึงมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 2560 อยู่ที่ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2562 มีมูลค่า 4.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉลี่ยเติบโต 6.4 %ทุกปีติดต่อกันมา 10 ปี ขณะที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลกมี มูลค่าอยู่ที่ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ พอผนวกเข้าด้วยกันมูลค่าของเวลเนส ทัวริสซึ่มจะอยู่ตรงกลางราว 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2563 ที่โควิดเข้ามาจากที่คิดว่าตัวเลขจะตกลงแต่ตัวเลขในปี2563 เวลเนส ทัวริสซึ่มกลับมีมูลค่าถึง 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าปี 2530 มูลค่าจะทะลุ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตสูงกว่า ทั้งอุตสาหกรรมเวลเนสโดยรวม 70% ต่อปี

 

“เวลเนส ทัวริสซึ่ม”ยูนิคอร์นใหม่ ท่องเที่ยว ยุคโควิด

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจด้านสุขภาพทั่วโลก ในปี 2562 

 

  • อันดับที่ 1 จะเป็น Personal care beauty and anti aging การดูแลตัวเองไม่อยากให้ตัวเองดูไม่ดี มูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • อันดับที่ 2 คือ Physical activity กลุ่ม sport กลุ่มออกกำลัง รองเท้า เสื้อ ที่วัดการก้าว หรือจะเป็นอุปกรณ์การกีฬา จักรยานหรืออะไรก็ตามเป็นกลุ่มใหญ่มากและมีมูลค่าแสนกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

  • อันดับ 3 Healthy eating nutrition, weight loss คราวนี้จะเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการร้านอาหาร เช่นเมื่อถ้าเราเปิดร้านอาหารธรรมดาแล้วแข่งขันยาก เราเข้ามาสู่กลุ่มเวลเนสแล้วปรับเป็น healthy eating กินอย่างไรให้ปลอดภัยจากโรค กินอย่างไรให้สุขภาพดี ทานอาหารแบบไหนแล้วน้ำหนักลดกลุ่มนี้มีมูลค่า 7 แสนกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

  • อันดับที่ 4 คือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (เวลเนส ทัวริสซึ่ม) ซึ่งกลุ่มเป้าหมายชัดเจนคือเป็นคนปกติไม่ใช่คนป่วยมีความอยากจะไปเที่ยว ซึ่งมี 2 ลักษณะคือ 1 ตั้งใจไปดูแลสุขภาพ 2.ไปเที่ยวแต่ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวกับสุขภาพด้วยก็สนใจ ไม่ว่าจะเป็นการกินที่ดี การ check up ร่างกาย ตรวจโรค บริการต่างๆ ที่เข้ามาช่วยลดความเครียดหรือการปรับพฤติกรรม ฉะนั้นเวลเนล ก็จะเป็น proactive คือวิ่งเข้ามาหา หรือเข้าไปดูแลโดยไม่ได้รอป่วย

 

  • อันดับ 5 คือ Preveentive, Regenerative and personal medicine คือการรักษา ตัวนี้เป็นเรื่องของการป้องกันก่อนเกิดโรค ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่เรื่องของการรักษาโรค เพราะถ้าเป็นการรักษาเราจะเรียกว่า เมดิคัล ทัวริสซึ่มซึ่งไทยอยู่ในเรื่องของเมดิคัล ทัวริสซึ่มนานจนแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการผ่าตัดต่างๆ จนไทยมีโรงพยาบาลที่ต่างชาติให้การโหวตว่าเชื่อถือได้ในเรื่องของการแพทย์    

 

  • อันดับ 6 Traditional and complementary medicine (T&CM) แพทย์แผนไทยและสมุนไพร

 

  • อันดับ 7 Wellness real estate หรือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่ใส่เรื่อง เวลเนส ในการให้บริการ อาทิ ห้องน้ำกันลื่นหรือ แสงสว่าง

 

  • อันดับ 8 Mental wellness  ที่มาแรงมาก เนื่องจากคนบนโลกใบนี้เครียดขึ้น กังวลและนอนไม่หลับกันเยอะมากตลาดนี้เป็นตลาดที่มาแรงมากๆ ก็คือตลาดสุขภาพจิตและการนอน 

 

  • อันดับ 9 Spa economy มูลค่าแสนกว่าล้าน

 

  • อันดับ 10 Thermal/mineral springs ซึ่งบ้านเราน้ำพุร้อน แต่ยังนำมาใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่

 

  • อันดับ 11 คือ Workplace wellness

 

การต่อยอดมาเป็นเรื่องของเวลเนส ทัวริสซึ่มเป็นโอกาสของไทย  เพราะเป็นกลุ่มคนที่ไม่ป่วย เมื่อเขาเข้ามาเขาจะต้องออกไปกิน ออกไปเที่ยว ออกไปออกกำลังกาย ออกไปนวดไทย ไม่ได้นอนอยู่ในโรงพยาบาล นั่นคือสิ่งที่เป็นยูนิคอร์นที่จะช่วยบ้านไทย  และความน่าสนใจของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพถ้าเป็นตลาดต่างชาติ จะใช้จ่ายมากกว่าปกติจะมีการใช้จ่ายมากกว่าปกติประมาณ 53% ค่าใช้จ่ายต่อหัวไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อทริป ถ้าเป็นท่องเที่ยวกันในประเทศจะใช้จ่ายมากกว่าไปเที่ยวปกติ 178%  ทั้งข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ปี 2562 ไทยมีนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอยู่ที่ 12.5 ล้านคนต่อปีสร้างรายได้ 409,200 ล้านบาทและเกิดการจ้างงาน 530,000 คน

 

ดังนั้นความสำเร็จของเวลเนส ทัวริสซึ่มจะอยู่ที่ 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

 

1. Wellness lifestyle เราเห็นโอกาส เช่น ร้านอาหารจะต้องตอบได้ว่ากินแล้วดีอย่างไร หรือผู้ประกอบการร้านค้าถ้าจะจับกลุ่มซิลเวอร์ เอจ ก็ต้องเปลี่ยนเมนูเป็นตัวหนังสือใหญ่ มีรูปเยอะๆ ร้านอาหารที่อยู่สูงจะต้องมีลิฟท์ ห้องน้ำจะต้องมีกันลื่น ถ้าเป็นฟิตเนสก็ต้องเน้นออกกำลังกายที่เน้นความแข็งแรงไม่ใช่กล้ามใหญ่

 

2.ภาครัฐก็ต้องสนับสนุนในเชิงนโยบายเพราะเราเริ่มเห็นคนที่ต้องการมาใช้ชีวิตหลังเกษียณในประเทศไทยเพราะฉะนั้นเรื่องของวีซ่ายาวๆ ก็ต้องสะดวก

 

3.ฮอสพิทาลิตี้ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะคำนวณหมดว่าหลังจากตื่นนอนขึ้นมาเขาจะต้องไปไหนทำอะไร ซึ่งเป็นภาพใหญ่ที่จะใช้เป็นตัวกำหนดธีมหรือกรอบการให้บริการ

 

ทั้งไทยยังมีจุดขายเรื่องของ โยคะ แพทย์แผนไทย นวดไทย สมุนไพรไทยที่โด่งดังมากในยุคโควิดเช่นฟ้าทะลายโจร กระชายดำ กระชายขาว ก็จะเพิ่มมูลค่าขึ้นมาสูงมาก และในอนาคตตลาดที่มีทั้งกัญชา กระท่อม

 

ในยุคโควิดเราติดอันดับ 6 ของโลกในเรื่องของความปลอดภัยทางด้านสุขภาพก็คือการดูแลสุขภาพเมืองไทยมีโรงพยาบาลที่ได้รับรอง JCI ติดอันดับโลก นั่นคือสิ่งสำคัญว่าเมื่อเราต่อยอดมาเป็น medical tourism ต่างชาติมั่นใจอยู่แล้วว่าถ้าเจ็บป่วยอยู่เมืองไทยรอดเพราะหมอเก่ง เพราะฉะนั้นถ้าไปเที่ยวในเชิงสุขภาพจะมั่นใจขึ้น

 

ที่มา : งานสัมมนาโอกาสสำหรับท่องเที่ยวไทย ซึ่งจัดโดยสมาคมโรงแรมไทยและบริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์  ในหัวข้อ “Thai New Unicorn : Wellness Tourism” โดยนายแพทย์ ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหารบริษัท บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก จำกัด และบริษัท บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท จำกัด

 

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,747 วันที่ 9 - 12 มกราคม พ.ศ. 2565