การจัดเก็บ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” หรือ “ค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ” คนละ 300 บาท อย่างเร็วที่สุดน่าจะเริ่มจัดเก็บ 1 เมษายนนี้ อาจเป็นเรื่องใหม่ในไทย แต่จริงๆแล้วการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว มีการหารือกันมาตั้งแต่ปี 2558 แล้ว แต่กระบวนการในการดำเนินการเพิ่งจะมีรูปธรรม และปัจจุบันก็มีกว่า 40 ประเทศที่จัดเก็บค่าธรรมเนียมในลักษณะนี้เช่นกัน
ปัจจุบันการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งชาติ และจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย และนำเสนอ ครม. ต่อไป ซึ่งการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนี้อยู่ภายใต้ 3 เหตุผลหลัก ได้แก่
ส่วนอัตราการจัดเก็บคนละ 300 บาทต่อครั้งสำหรับการเดินทางเข้าประเทศไทย เป็นการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยนเรศวร และได้วิเคราะห์จากนักท่องเที่ยวและผู้เกี่ยวข้องแล้วว่าเหมาะสม เป็นอัตราที่แข่งขันได้ อยู่ในระดับเดียวกับประเทศอื่นๆ ซึ่ง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมในลักษณะนี้
ปัจจุบันมีการเรียกเก็บมากกว่า 40 เมือง/ประเทศ ทั่วโลก แต่จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ อย่างญี่ปุ่น ก็จะเรียกว่า ซาโยนาระ แท็กซ์ ก็จัดเก็บในอัตราใกล้กับไทย โดยการจัดเก็บค่าธรรมเนียมของแต่ละประเทศ ก็จะมีวัตถุประสงค์คล้ายกัน คือ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว
แต่ไทยเป็นประเทศแรกที่จะนำเงิน300 บาทที่ได้รับนำเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยประมาณ 50% และซื้อประกันภัยสำหรับนักท่องเที่ยว 20% (ระยะเวลาความคุ้มครอง 45 วัน) ส่วนเงินที่เหลือประมาณ 20-30% จะเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างบริษัทหรือหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพ
ทั้งนี้หากกระบวนการเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาที่กำหนด คาดว่าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 (เมษายน-กันยายน 2565) จะสามารถจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 ล้านคน
ขณะที่ภาคเอกชนท่องเที่ยวบางกลุ่มก็อยากจะให้เลื่อนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนี้ออกไปก่อน และยังเห็นว่ากลไกการบริหารจัดการกองทุนถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำให้เกิดความคล่องตัวในการใช้กองทุนด้วยเช่นกัน
สำหรับรูปแบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวของประเทศต่างๆปัจจุบันมีการจัดเก็บอยู่แล้วกว่า 40 ประเทศ อาทิ