ปัจุบันตลาดมีความต้องการผลิตภัณฑ์จากกัญชงสูง เนื่องจากสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ โดยเฉพาะสารสกัด CBD จากช่อดอกกัญชง รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม กระแสความนิยมบริโภคกัญชงคาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วง 1 - 3 ปีแรก จะเป็นปัจจัยหนุนราคาผลิตผลกัญชง เนื่องจากอุปทานยังมีจำกัด
"EE" หนึ่งในผู้เล่นตลาดกัญชง ได้วาง Roadmap ตามแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี ขององค์กร ตั้งเป้าจะเป็นผู้นำทางด้านธุรกิจกัญชงครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยมีแผนจะนำเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Smart Farming) และการสกัด มาผนวกกับทีมงานวิจัยด้านต่างๆ เพื่อผลิตกัญชงที่มีคุณภาพสูงสุด
นาย วรศักดิ์ เกรียงโกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่าในปี 2564 บริษัทสามารถทำกำไรกว่า 195 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 3,816% จากปีก่อน สำหรับปี2565นี้บริษัทยังคงยึดเป้าหมายเดิมคือเป็นผู้ดำเนินธุรกิจกัญชงครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
“ตามที่บริษัทเคยประกาศจะพัฒนาในธุรกิจกัญชงซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูงและด้วยกฎหมายที่อำนวยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรเชิงพาณิชย์ได้อย่างถูกต้อง วันนี้ EE เริ่มก้าวแรกอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการลงทุนในกัญชงต้นน้ำ กับ บริษัท แคนนาบิซ เวย์ จำกัด หรือ CW เจ้าของโรงเรือน Green House ขนาด 9,000 ตร.ม. ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีศักยภาพสูง และป้อนวัตถุดิบคุณภาพสู่ตลาดได้จำนวนมากพร้อมสัญญารับซื้อที่มีในมือที่มีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ทั้งนี้บริษัทได้เพาะปลูกบนพื้นที่ 9,000 ตร.ม. ซึ่งมีการรอบการปลูกแรกจำนวน 50,000 ต้น แบ่งเป็น indoor และ outdoor อย่างละ 30,000 และ 20,000ต้น ตามลำดับ คาดว่าจะได้ช่อดอกแห้งไม่น้อยกว่า 5,000 กิโลกรัม ซึ่งมีราคาขายประมาณ 15,000 บาทต่อกิโลกรัม และคาดว่าการผลิตจะมีสาร CBD ไม่น้อยกว่า 15% และคาดว่าจะสามารถปลูกได้ประมาณ 3-4 crop ต่อปี คิดเป็นประมาณการรายได้ไม่น้อยกว่า 330 ล้านบาทต่อปี สำหรับโครงการ CW
นอกจากนี้ภาครัฐฯยังมีการสนับสนุนด้วยการห้ามนำเข้าผลิตผลจากกัญชงไปอีก 4 ปี (ถึงปี 2568) ซึ่งจะเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลการดำเนินงานที่ดีของ EE ผลิตผลจากกัญชงจากแหล่งเพาะปลูกของ CW มีสัญญารับซื้อจากผู้ประกอบการขั้นกลางน้ำแล้ว
ส่วนเป้าต่อไปคือ การพัฒนาอุตสาหกรรมกลางน้ำที่ปัจจุบันผ่านขั้นตอนการศึกษาและเลือกเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ เหลือเพียงสรุปรายละเอียดเรื่องพันธมิตร รวมถึงเรื่องอุปกรณ์ สเปกเครื่องสกัดอีกเล็กน้อย ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนของโครงการสกัดกลางน้ำในไตรมาส 2 และสามารถสร้างรายได้ในไตรมาส 4 ปี 2565
ในส่วนอุตสาหกรรมปลายน้ำบริษัทตั้งเป้าจะพัฒนา ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เชิงสุขภาพ Premium Supplement Products ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงสุดหากเทียบกับประเภทอื่นๆ และมีคุณภาพตอบสนองกลุ่มเป้าหมายในระดับพรีเมียม (Premium Class)
โดยบริษัทคาดการณ์ว่าจะสามารถออกผลิตภัณฑ์เหล่านี้สู่ตลาดภายในปี 2566 หรือเมื่อ supply ของวัตถุดิบหรือสารสกัดจากกัญชงในโครงการต้นน้ำของกลุ่มบริษัท EE มีปริมาณและเสถียรภาพมากพอ