นางสาววิลาสินี ภาณุรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บาจา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวหลังเข้ารับตำแหน่งใหม่ว่า ทิศทางต่อไปของบาจา ประเทศไทย หลังผ่านวิกฤติโควิด-19 คือ การนำแบรนด์ดีเอ็นเอที่มีความสบายอย่างมีสไตล์ Comfort with Style มาถ่ายทอดสื่อสารแบบใหม่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากฐานลูกค้าเก่าที่มีอยู่กว่า 2 ล้านคนในประเทศไทย
ให้มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคุณแม่ และกลุ่มคนเจน X-Y ซึ่งเป็นแฟนของแบรนด์อย่างเหนียวแน่น แต่ความตั้งใจของบาจา เราต้องการขยายฐานเข้าไปสู่คนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้นึกถึง หรือยังไม่ได้เลือกสวมใส่บาจามาก่อน ซึ่งบาจามีสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่แบรนด์ยังต้องสื่อสารเชิงลึกไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ให้มากขึ้น
"บาจา เป็นแบรนด์รองเท้าที่อยู่มากว่า 90 ปี คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับพฤติกรรมการสวมใส่รองเท้าที่ไม่เหมือนเดิม บาจาจึงต้องการสร้างภาพจำใหม่ให้ชัดเจนมากขึ้น นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของแคมเปญ Surprisingly Bata ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2564 แต่บาจาจะมาสานต่อแคมเปญนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในช่วงปลายปี 2565 นี้”
ทั้งนี้บาจาได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยในปี 2563 สามารถสร้างยอดขายได้หลักพันล้านบาท ลดลงกว่า 38% เนื่องจากบาจาได้รับผลกระทบจากการล็อคดาวน์โดยตรง แต่ในปีนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ทำให้นับตั้งแต่ช่วงเมษายน 2565 เป็นต้นมา ทุกอย่างกำลังเข้าสู่ภาวะปกติ
โดยพบว่าผู้บริโภคและลูกค้ากลับมาจับจ่ายภายในช้อปบาจาได้ตามปกติ ทำให้ยอดขายของบาจากลับมาเติบโตถึงกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว รวมถึงช่องทาง Online Sales ของบาจาที่มีการบุกตลาดอย่างจริงจัง ส่งผลให้ยอดขายมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ขณะที่ปัจจุบันตลาดและผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีนี้ ทำให้บริษัทมองว่าทิศทางทางการตลาดและการทำงานต่อไปของแบรนด์นั้น ผู้อยู่รอดคือผู้ที่ปรับตัวได้เร็วที่สุด (Survival of the Fittest) เตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงแบบทันท่วงที ต้องบริหารจัดการให้พร้อมที่จะเรียนรู้ใหม่เสมอ
“ตลาดที่มีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้บาจามีความมั่นใจในการนำสินค้าใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดได้อย่างเต็มที่ โดยในครึ่งปีหลังเตรียมปล่อยคอลเล็กชั่นใหม่ออกมาอีกหลายไลน์สินค้าในทุกหมวด พร้อมกับการรุกตลาดที่มีความเข้มข้นและหลากหลายมากขึ้น ทั้ง CRM Loyalty Campaign และ Omni Channel Strategy ผสมผสานช่องทางการขายเข้าด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์การซื้อให้กับลูกค้าอย่างดีที่สุดด้วย”
นางสาววิลาสินี กล่าวอีกว่า บาจาใช้ดาต้าลูกค้าที่มีอยู่มาทำ CRM Loyalty Campaign ให้มากขึ้น เพื่อรักษาฐานลูกค้าประจำ ขณะเดียวกันก็จริงจังในการสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มใหม่ ผ่านทางช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ตามกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเชื่อมประสบการณ์ของลูกค้าทั้งเก่าและใหม่แบบไร้รอยต่อ ผ่าน Omni Channel Strategy ของเราด้วยระบบ Automation Tools ต่าง ๆ ซึ่งกลยุทธ์นี้จะเร่งทำให้เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
ปัจจุบันบาจามีช่องทางการจัดจำหน่ายทางหน้าร้าน 229 แห่ง ร้านแฟรนไชส์ 6 แห่ง ผ่านทางช่องทางออนไลน์จาก bata.co.th รวมถึงช่องทางอี-มาร์เก็ตเพลส ซึ่งบาจามี Official Stores ทั้งบน Lazada และ Shopee ทำให้คาดว่าสิ้นปีนี้บาจาจะเติบโตกว่า 65% เมื่อเทียบกับปีก่อน พร้อมตั้งเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องจากทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ จากแคมเปญล่าสุด และการบุกช่องทางขายครบวงจรในปีหน้า