พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ได้หารือกับ คณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (USABC) เข้าเยี่ยมคารวะ จำนวน 43 บริษัทจากกลุ่มอุตสาหกรรมสาขาต่าง ๆ อาทิ พลังงาน อาหารและการเกษตร สาธารณสุข เทคโนโลยีสารสนเทศ และบริการทางการเงิน
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบ USABC และภาคเอกชนสหรัฐฯ ถือเป็นมิตรและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยมายาวนาน และมีบทบาทสนับสนุนการเติบโตของไทยมาโดยตลอด โดยการพูดคุยในวันนี้จะเป็นโอกาสดีที่จะสานต่อการหารือถึงพัฒนาการสำคัญในช่วงเวลาที่ผ่านมา
โดยเฉพาะภายหลังจากที่ไทยได้เป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับความร่วมมือ และการหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกับภาคเอกชน ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ไทยมีพัฒนาการที่ดีทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมภายหลังรับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐฯ มีพลวัตเพิ่มขึ้นและคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ไทยได้ผลักดันผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมหลายประการ ทั้งการทบทวนการหารือเรื่องเขตการค้าเสรีเอเชีย แปซิฟิก (FTAAP) ในบริบทหลังโควิด-19 การฟื้นฟูความเชื่อมโยง
โดยเฉพาะการเดินทางและการท่องเที่ยว รวมทั้งการส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม โดยการนำเสนอเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจ สีเขียว (Bangkok Goals on BCG) รวมทั้งกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโดแปซิฟิก (IPEF) ที่ไทยเข้าร่วมตั้งแต่ต้น และถือเป็นเวทีความร่วมมือรูปแบบใหม่ที่ช่วยเสริมสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค และส่งเสริมความร่วมมือเพื่อรับมือกับประเด็นท้าทายใหม่ ๆ
ทั้งนี้ ไทยพร้อมเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตระหว่าง 2.7-3.2๔ ซึ่งไทยพร้อมร่วมมือกับภาคเอกชนสหรัฐฯ เพื่อมุ่งส่งเสริมความเข้มแข็งและการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างสมดุลและครอบคลุม และให้ภาคธุรกิจ
โดยเฉพาะ SMEs ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรม บนพื้นฐานโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อพัฒนาไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการลงทุนของภูมิภาค ในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้าน BCG ด้านผู้มีศักยภาพจากทั่วโลก ด้านโลจิสติกส์เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค และด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
นายกรัฐมนตรีได้เสนอวิสัยทัศน์ และแนวทางการเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจไทยในยุค Next Normal 3 ประการ ได้แก่
1.ด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจที่มีความสมดุล
ไทยให้ความสำคัญกับสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว โดยเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของสหรัฐฯ และมุ่งเข้าสู่การเป็นสังคมปลอดคาร์บอน โดยรัฐบาลได้เร่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นสีเขียว
โดยประสงค์จะได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน เพื่อยกระดับไทยไปสู่การผลิต EV สำหรับภูมิภาค พัฒนาองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยเฉพาะเทคโนโลยีดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บ คาร์บอน
2. ด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจที่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน
ไทยพร้อมสร้างโอกาสทางการค้า มุ่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน โดยรัฐบาลได้เร่งเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจตามข้อเสนอ Ten for Thailand เพื่อพัฒนาไทยไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคสำหรับธุรกิจ การค้า และการลงทุน และ
3. ด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม
ไทยมุ่งผลักดันและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เร่งพัฒนาวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น และส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัล
ด้านประธาน USABC กล่าวยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งภายหลังจากที่ได้พบหารือกันในรูปแบบกึ่งออนไลน์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ได้พบกันพร้อมหน้า และเป็นคณะที่ใหญ่สุดที่เดินทางมาประเทศไทย รวม 43 บริษัทที่มาในวันนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่จะขยายความร่วมมือกับไทย
พร้อมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการลงทุนในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะประเทศไทย และถือเป็นโอกาสในการเฉลิมฉลองวาระครบครบรอบ 190 ปีของความสัมพันธ์ไทย - สหรัฐฯ ในปีหน้าด้วย
ส่วนเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ กล่าวขอบคุณที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นต่อคณะสภาธุรกิจในวันนี้ ชื่นชมความสัมพันธ์ไทย - สหรัฐฯ ที่มีมาอย่างยั่งยืนยาวนาน ทั้งสองฝ่ายร่วมกันส่งเสริมความสัมพันธ์ในหลายระดับ ทั้งรัฐบาล ประชาชน และภาคเอกชน ซึ่งถือว่าความสำคัญระหว่างภาคเอกชนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐฯ ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของการประชุมเอเปค และพร้อมรับไม้ต่อในการเป็นเจ้าภาพเอเปคในปีหน้า เน้นย้ำว่า สหรัฐฯ ยืนยันจะส่งเสริมความร่วมมือกับไทยต่อไป
ด้านผู้แทนจากบริษัทภาคเอกชนสหรัฐฯ ทั้ง 43 บริษัทจาก 6 อุตสาหกรรมหลัก ได้กล่าวแนะนำตัวและหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยแสดงความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ำความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือและสนับสนุนแนวคิด BCG ของไทยผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือด้านการใช้พลังงาน ผลิตภัณฑ์ อย่างคุ้มค่าและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตามตัวแทนบริษัทส่วนใหญ่เห็นว่า ไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์การกลางลงทุนในด้านต่าง ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ (Auto Hub) ศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล การส่งเสริมการท่องเที่ยว และการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยพร้อมส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะที่พร้อมต่อการทำงาน ซึ่งจะช่วยรองรับการขยายการลงทุนของแต่ละธุรกิจในอนาคตต่อไป