โครงการ "แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท" ที่คาดว่าจะมีการปรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินให้แก่ประชาชน โดยมีความเห็นการแบ่งเกณฑ์การรับเงินดิจิทัล 3 แนวทาง คือ
โดยตั้งระยะเวลาโครงการเงินดิจิทัลไว้ราว 4 ปี ใช้เงินงบประมาณปีละ 100,000 ล้านบาท
ฐานเศรษฐกิจสัมภาษณ์พิเศษ ศ.ดร.กิตติ ลิ่มสกุล อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปฏิเสธไม่ได้เคยเป็นคณะทำงานหลักบ้านในการคิดนโยบายนี้กับพรรคเพื่อไทยมาก่อน
ศ.ดร.กิตติ ให้ความเห็นต่อเกณฑ์การแบ่งกลุ่มประชาชนผู้มีสิทธิรับเงินดิจิทัลทั้ง 3 แนวทางว่า เป็นการแบ่งที่ไม่มีหลักเกณฑ์เท่าไหร่ เป็นการปรับเปลี่ยนโครงการจนเสียคอนเซปต์
เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้ว่าผู้ที่มีรายได้มากหรือน้อยเหล่านั้นถือครองสินทรัพย์อยู่เท่าไหร่ ทุกคนต้องเปิดเผยรายได้ และทรัพย์สินหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เกิดความวุ่นวายและเป็นต้นทุนในการดำเนินโครงการเพิ่มขึ้น
เกณฑ์ที่ใช้นี้ยึดหลักของรายได้ โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยแต่ยังไม่เห็นในรายละเอียด นอกเหนือจากที่ปรากฏเป็นข่าว ส่วนตัวมีความเห็นว่าในทางปฏิบัติไม่ค่อยเหมาะสม ทำได้ยาก และไม่เห็นด้วย
ผลกระทบจากการแบ่งกลุ่มประชาชนจากรายได้นี้ อาจเกิดคำถามตามมาได้ว่า สำหรับประชาชนกลุ่มที่ไม่ได้รับเงินดิจิทัล แต่มีความมุ่งหวังที่จะได้รับเงินดิจิทัลด้วยนั้นจะดำเนินการกับคนกลุ่มนี้อย่างไร อีกทั้งการดำเนินนโยบายใดนั้นต้องคำนึงถึงต้นทุนในการบริหารจัดการด้วย
ดังนั้นการที่พยายามแยกคนรวยออก ถือว่ามีต้นทุนในการดำเนินโครงการที่สูงมาก ทั้งทางด้านเวลาและรูรั่ว กลายเป็นความไม่คุ้มค่า ประชาชนตั้งคำถามถึงเกณฑ์การแบ่งผู้มีสิทธิ์ได้รับหรือไม่ได้รับแจกเงินดิจิทัล
สำหรับแหล่งที่มาของเงินเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทนี้ ดร.กิตติยอมรับว่า เมื่อพิจารณาจากรายรับภาษีแล้ว มีเงินไม่พอที่จะแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้ทุกคนที่อายุ 16ปีขึ้นไป
ซึ่งแม้จะมีข้อจำกัดเรื่อง งบประมาณที่ต้องนำมาใช้ในการดำเนินโครงการก็ตาม แต่ก็ควรใช้วิธีอื่น ที่ไม่ใช่ตัดสิทธิ์ประชาชนออกเช่นนี้ สิ่งที่ดร.กิตติเคยนำเสนอไปแล้ว นั่นคือ ควรจะมีการแบ่งชำระ แทนการลดจำนวนประชาชนที่จะได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท
เนื่องจากในปัจจุบันมีเงินภาษีเข้ามาที่เงินคงคลังประมาณ 3 แสนล้านบาท สามารถแก้ไขกฎหมาย หรือกฎระเบียบบางประการเพื่อโอนเงินบางส่วนให้ประชาชนก่อน โดยทยอยโอนให้กับประชาชน 2-3 ครั้งภายในระยะเวลา 6เดือน
โดยก้อนแรกควรโอนให้กับประชาชนก่อนปีใหม่ ประมาณ 2,000-2,500 บาท/คน เพราะเป็นช่วงที่ประชาชน มีการจับจ่ายใช้สอย จะทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ และเมื่อรัฐบาลจัดเก็บภาษีเข้ามาได้ ก็นำไปบริหารเงินหมุนเวียนของโครงการต่อไป เป็นการหมุนเงินจากรายรับภาษีอากร
และยืดระยะเวลาร้านค้าให้สามารถนำเงินดิจิทัลที่ได้รับ มาแลกเป็นเงินจริงได้ภายในระยะเวลา 1ปี ไม่จำเป็นต้องยืดให้นานถึง 4ปี จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดตลาดมืด คอยตั้งโต๊ะแลกเงิน
การที่รัฐบาลคือ The last resort หรือ ผู้รับประกันคนสุดท้าย นั่นคือ แจกไปจำนวนเท่าไหร่ต้องตั้งเงินไว้ให้พร้อมสำหรับการแลกคืนเป็นเงินจริงด้วย ซึ่งหากไม่มีเงินก็สามารถใช้มาตรา28 ของ พ.รบ. วินัยการเงินการคลัง
ดร.กิตติกล่าวทิ้งท้ายว่า แม้จะมีการปรับเกณฑ์การแจกเงินดิจิทัลให้แก่ประชาชนก็ตาม แต่ก็ยังต้องตั้งวงเงินไว้เพื่อรองรับการแลกกลับเป็นเงินจริงถึงกว่า 4 แสนล้านบาท และการปรับให้สามารถแลกเงินดิจิทัลเป็นเงินจริงได้ ปีละประมาณ 1 แสนล้านบาท ภายใน 4ปี ย่อมเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการตั้งโต๊ะ รับแลกเงินในตลาดมืด
อย่างไรก็ตาม ดร.กิตติ ได้แสดงความหวังให้โครงการนี้สามารถดำเนินการได้จริง และขอให้ผลประโยชน์เป็นของประชาชน