เรือคอนเทนเนอร์มากกว่า 100 ลำ ถูกกำหนดเส้นทางใหม่ทั่วแอฟริกาตอนใต้เพื่อหลีกเลี่ยง "คลองสุเอซ" เป็นสัญญาณของการหยุดชะงักในการค้าโลกที่เกิดจากกลุ่มกบฏฮูตีโจมตีเรือบนชายฝั่งตะวันตกของเยเมนเพื่อตอบโต้การทิ้งระเบิดฉนวนกาซาของอิสราเอล ขณะที่สหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า จะพยายามเป็นผู้นำพันธมิตรทางเรือเพื่อปกป้องการขนส่งทางเรือในคลองสุเอซ
สำนักข่าวเดอะการ์เดียน รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจาก บริษัทเดินเรือคูห์เนและนาเกล ระบุว่า พบเรือ 103 ลำที่เปลี่ยนเส้นทางไปแล้ว โดยคาดว่าจะมีเรืออื่นๆ แล่นรอบแหลมกู๊ดโฮป ของแอฟริกาใต้ การเปลี่ยนเส้นทางดังกล่าวจะเพิ่มระยะทางประมาณ 6,000 ไมล์ทะเลในการเดินทางโดยทั่วไปจากเอเชียไปยังยุโรป และอาจเพิ่มเวลาการส่งมอบผลิตภัณฑ์อีกสามหรือสี่สัปดาห์
จากข้อมูลพบว่า เรือประมาณ 19,000 ลำแล่นไปตามคลองสุเอซทุกปี ทำให้คลองนี้เป็นหนึ่งในเส้นทางสำคัญของโลก โดยเฉพาะเชื้อเพลิงและสินค้าที่เคลื่อนย้ายระหว่างเอเชียและยุโรป
เรือที่ถูกเปลี่ยนเส้นทางจนถึงขณะนี้มีความสามารถในการบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 6 เมตรได้ ขณะที่เรือบรรทุกน้ำมันและก๊าซก็เปลี่ยนเส้นทางเช่นกัน อย่าง บริษัทน้ำมันรายใหญ่ BP (BP.L)
การหยุดชะงักส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น ราคาของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์ ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานทั่วโลก เพิ่มขึ้น 1.2% ในวันพุธที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของราคาในที่สุดอาจส่งผลต่ออัตราภาษีพลังงานของผู้บริโภค ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
ตามรายงานของเดอะการ์เดียนระุบว่า Michael Aldwell กรรมการฝ่ายลอจิสติกส์ทางทะเลของ บริษัทเดินเรือคูห์เนและนาเกล กล่าวว่า การใช้เวลานานบนน้ำเป็น 20% ของความจุ กองเรือทั่วโลก อาจนำไปสู่ความล่าช้าของทรัพยากรในการขนส่ง ยิ่งไปกว่านั้นความล่าช้าในการส่งคืนอุปกรณ์เปล่าไปยังเอเชียมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความท้าทาย ซึ่งส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อความน่าเชื่อถือโดยรวมของห่วงโซ่อุปทาน
บริษัทต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หลายราย กำลังติดตามสถานการณ์เพื่อดูว่าห่วงโซ่อุปทานอาจได้รับผลกระทบหรือไม่ การปิดคลองสุเอซครั้งใหญ่อย่างไม่คาดคิดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2021 เมื่อ เรือคอนเทนเนอร์ Ever Given ปิดกั้นเส้นทางเป็นเวลา 6 วัน