นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจการค้าเฉลี่ยปี 2566 โดยดัชนีราคาผู้บริโภค ราคาวัสดุก่อสร้าง ราคาส่งออก และค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนน ขยายตัวไม่มากนักและชะลอตัวจากปี 2565 อย่างชัดเจน ด้านดัชนีราคาผู้ผลิต และราคานำเข้า ลดลงจากปี 2565 ซึ่งการชะลอตัวและลดลงของดัชนีราคา เพราะว่าเป็นผลจากการลดลงของราคาพลังงาน การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปรับตัวเพิ่มขึ้นและอยู่ในระดับที่มีความเชื่อมั่นตลอดทั้งปี โดยปี 2567 คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างจะชะลอตัวลงจากปี 2566
ส่วนดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนน ไตรมาสแรกของปี 2567 คาดว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 จากมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานของภาครัฐที่มีต่อเนื่องจากปี 2566
ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต ราคาส่งออก และราคานำเข้า คาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อย ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นและอยู่ในช่วงความเชื่อมั่น จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย และภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ดัชนีราคาผู้บริโภค เฉลี่ยทั้งปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565 สูงขึ้น 1.23% ชะลอตัวค่อนข้างมากจากปี 2565 ที่สูงขึ้น 6.08% เพราะราคาสินค้าบางกลุ่มปรับลดลง อาทิ น้ำมันเชื้อเพลิง มาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ รวมถึงเนื้อสุกร และเครื่องประกอบอาหาร อย่างไรก็ดีเนื่องจากราคาสินค้าส่วนใหญ่ยังคงปรับสูงขึ้นตามการบริโภคที่ขยายตัวต่อเนื่อง ปี 2566 จึงยังไม่มีสัญญาณที่สะท้อนว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 คาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2566 และอยู่ในระดับต่ำ ระหว่าง 0.3% – 1.7% เนื่องจากภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง
2. ดัชนีราคาผู้ผลิต เฉลี่ยทั้งปี2566 เทียบกับปี 2565 ลดลง 2.4% ตามราคาพลังงานในตลาดโลกที่ปรับลดลง ส่งผลให้ราคาสินค้ากลุ่มปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องลดลงค่อนข้างมาก ประกอบกับจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ไม่ฟื้นตัว การแข็งค่าของเงินบาท และภาคการส่งออกที่ลดลง ส่งผลให้ทั้งผลผลิตและราคาสินค้าในภาคอุตสาหกรรมของประเทศ โดยเฉลี่ยปรับลดลงกว่าปี 2565
อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหารยังคงปรับตัวสูงขึ้น จากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหารที่เกิดขึ้นทั่วโลกจากสภาพอากาศแปรปรวน
สำหรับแนวโน้มปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อย จากภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ และฐานราคาปี 2566 ที่อยู่ระดับต่ำ
3. ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เฉลี่ยทั้งปี 2566 เทียบกับปี 2565 สูงขึ้น 0.1% ชะลอตัวค่อนข้างมากจากปี 2565 ที่สูงขึ้น 5.7% โดยได้รับแรงกดดันจากราคาสินค้าหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ที่ได้รับผลกระทบ
จากปริมาณเหล็ก ที่เกิดจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีน กดดันให้ราคาเหล็กปรับลดลงทั้งตลาดโลกและไทย ประกอบกับช่วงไตรมาสที่ 4 ภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น และการลงทุน
สำหรับแนวโน้มปี 2567 คาดว่าจะทรงตัวและอยู่ระดับใกล้เคียงกับปี 2566 โดยมีปัจจัยกดดันจากปัญหาหนี้สินครัวเรือน อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูง รวมทั้งการลงทุนภาครัฐที่ล่าช้าจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่อาจลดลงจากมาตรการของภาครัฐ
4. ดัชนีราคาส่งออก เฉลี่ยทั้งปี 2566 เทียบกับปี 2565 สูงขึ้น 1.1% ชะลอตัวจากปี 2565 ที่สูงขึ้น
4.2% เนื่องจากความต้องการสินค้าในภาพรวมชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนโลกชะลอตัวอย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าเกษตรกรรมปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากปริมาณผลผลิตได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง
ส่วนแนวโน้มปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามต้นทุนด้านพลังงานและค่าขนส่งที่ยังอยู่ในระดับสูง จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ และวัฏจักรการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะกลับมาขยายตัวตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น
5. ดัชนีราคานำเข้า เฉลี่ยทั้งปี 2566 เทียบกับปี 2565 ลดลง 0.9% จากปี 2565 ที่สูงขึ้น 11.1% ตามการลดลงของราคานำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ สำหรับแนวโน้มปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามราคาวัตถุดิบนำเข้า และราคาพลังงานที่อาจปรับตัวสูงขึ้น ตามความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลก ประกอบกับฐานราคาปี 2566 ที่อยู่ระดับต่ำ
6. อัตราการค้า (Term of Trade) ของไทย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดรายได้จากการส่งออกเทียบกับรายจ่ายจากการนำเข้า ทยอยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปี 2565 โดยในเดือนธันวาคม 2566 อยู่ที่ 99.4% อย่างไรก็ตาม อัตราการค้าตลอดปี 2566 อยู่ระดับต่ำกว่า 100 สะท้อนว่า ประเทศไทยมีความเสียเปรียบทางโครงสร้างราคาระหว่างประเทศ เนื่องจากรายจ่ายจากการนำเข้าสูงกว่ารายได้จากการส่งออก และคาดว่าปี 2567 จะอยู่ระดับต่ำกว่า 100 ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
7. ดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนนเฉลี่ยทั้งปี 2566 เทียบกับปี 2565 สูงขึ้นร้อยละ 1.9 (AoA) จากความต้องการขนส่งสินค้าทางถนนที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการสูงขึ้นของค่าแรง อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากตลาดโลกซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการให้บริการขนส่งทางถนน และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ ส่งผลให้ดัชนีฯ ชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 2 และ 3 และหดตัวในไตรมาสที่ 4 ตามลำดับ สำหรับแนวโน้มในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 คาดว่าจะลดลง เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานของภาครัฐที่คาดว่าจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
8. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเฉลี่ยทั้งปี 2566 อยู่ที่ระดับ 54.2 อยู่ในช่วงเชื่อมั่น (สูงกว่าระดับ 50) และปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 46.2 ปี 2565 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุดตลอดปี 2566 คือ ด้านเศรษฐกิจไทยที่มีทิศทางฟื้นตัว และมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สำหรับแนวโน้มปี 2567 คาดว่า
จะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปี 2566 และอยู่ในช่วงความเชื่อมั่น ตามภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องโดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว และการส่งออกที่จะปรับตัวดีขึ้น
แม้ดัชนีเศรษฐกิจการค้าส่วนใหญ่ในปี 2567 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระดับที่ไม่สูงมากนัก แต่ยังคงมีปัจจัยที่อาจทำให้ดัชนีเศรษฐกิจการค้าไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ อาทิ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าสำคัญ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภัยธรรมชาติ และมาตรการภาครัฐ
โดยทาง สนค. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ดัชนีเศรษฐกิจการค้ามีความถูกต้อง แม่นยำ สอดคล้องกับสถานการณ์ และสามารถนำไปใช้ประกอบการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ