นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงแนวโน้มเงินเฟ้อปี 2567 ว่า สนค. ประเมินอัตราเงินเฟ้ออยู่ระหว่าง (-0.3) – 1.7% และค่ากลางอยู่ที่ 0.7% ชะลอตัวจากปี 2566 โดยเป็นการชะลอตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ตามแรงกดดันด้านอุปทานที่ทยอยคลี่คลายลง และภาครัฐมีมาตรการลดค่าครองชีพให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับทิศทางของเงินเฟ้อในปี 2567 สนค. ประเมินมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการ แยกเป็นรายกลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 สินค้าและบริการที่ราคามีแนวโน้มลดลง ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง จากฐานที่สูงของปีที่ผ่านมา และแรงกดดันของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมทั้งมาตรการด้านพลังงานของภาครัฐ
กลุ่มที่ 2 สินค้าและบริการที่ราคาคงที่หรือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน และค่าโดยสารสาธารณะ ซึ่งราคามีแนวโน้มคงที่ เนื่องจากมีการทยอยปรับราคาไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ไข่และผลิตภัณฑ์นม ผักสด ผลไม้สด และอาหารบริโภคในบ้านและนอกบ้าน ราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง โดยเฉพาะราคาสินค้าทางการเกษตรตามภาวะผลผลิตในประเทศและตลาดโลกที่ยังมีข้อจำกัดจากสถานการณ์ภัยแล้ง
กลุ่มที่ 3 สินค้าและบริการที่ราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องประกอบอาหาร และเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและจากฐานราคาที่ต่ำในปีที่ผ่านมา รวมทั้งการเติบโตอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาครัฐมีมาตรการเพิ่มเติมในเรื่องฟรีวีซ่า จะสร้างอุปสงค์ต่อสินค้าและบริการในภาคท่องเที่ยว ส่งผลให้ราคาค่าโดยสารเครื่องบิน ห้องพักโรงแรม และค่าทัศนาจร ปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งเป็นเงินเฟ้อในส่วนที่สะท้อนถึงการเติบโตของเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันยังมีมาตรการภาครัฐที่ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่ออัตราเงินเฟ้อ โดยมาตรการที่ส่งผลโดยตรงได้แก่
สำหรับมาตรการที่ส่งผลทางอ้อม ได้แก่ การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ย 345 บาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 2.37% ส่งผลต่อคำสั่งซื้อของผู้บริโภคกลุ่มผู้ใช้แรงงาน (ส่งผลต่อเงินเฟ้อ 0.13 – 0.25%) นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ส่งผลต่อคำสั่งซื้อของผู้บริโภคส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่จำกัด (ส่งผลต่อเงินเฟ้อ 0.16 – 0.30%)
รวมทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งแม้จะยังอยู่ในระดับสูง แต่ภาครัฐได้มีนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งน่าจะสามารถทำให้แรงกดดันต่อสถานการณ์หนี้ครัวเรือนทยอยคลายตัวลง และส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนปรับตัวดีขึ้น
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า ผลของปัจจัยและมาตรการดังกล่าว อาจส่งผลต่อเงินเฟ้อมากหรือน้อยกว่าที่คาดการณ์ได้ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้บริโภคและการตอบสนองของผู้ประกอบการ และยังต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกที่มีความไม่แน่นอนและคาดการณ์ไม่ได้ โดยเฉพาะการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ใน จะติดตาม ดูแล และบริหารจัดการราคาสินค้าและบริการอย่างใกล้ชิดต่อไป