บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 4/2565 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 ได้มีมติอนุมัติการลงทุนในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทในวันที่ 31 ม.ค. 2566 โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าร่วมประชุม 20 ธ.ค. 2565 ทั้งนี้ ซึ่งการลงทุนในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมดังกล่าวประกอบด้วยธุรกรรม ดังต่อไปนี้
ทั้งนี้ในทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมครั้งนี้ ได้แก่ ธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน Caltex 427 สถานี แบ่งเป็น สถานีบริการน้ำมันแบบผู้ค้าปลีกเป็นเจ้าของและดำเนินการ 403 แห่ง และสถานีบริการน้ำมันแบบบริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินงานโดยผู้ค้าปลีก 24 แห่ง และ หุ้น 16 ล้านหุ้น หรือ 2.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BAFS
มูลค่าทั้งหมดของธุรกรรมการลงทุนในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจะเท่ากับผลรวมของ (1) เงินจำนวน 90.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 3,212.4 ล้านบาท (2) มูลค่าของเงินทุนหมุนเวียนสุทธิตามจริงของธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่จะดำเนินการโดยบริษัทเป้าหมาย ณ วันที่ธุรกรรมการเข้าซื้อหุ้นเสร็จสิ้น (Closing Date) ทั้งนี้เพื่อแสดงตัวอย่างประกอบการพิจารณาเงินทุนหมุนเวียนสุทธิของธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 มีมูลค่าเท่ากับ 2,350.1 ล้านบาท (หรือเท่ากับ 65.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ในกรณีนี้หากมูลค่าของเงินทุนหมุนเวียนสุทธิของธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ณ วันที่ธุรกรรมการเข้าซื้อหุ้นเสร็จสิ้น (Closing Date) มีจำนวนเท่าเดิม 2 มูลค่าของธุรกรรมการลงทุนในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจะเท่ากับ 155.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือเท่ากับ 5,562.5 ล้านบาท)
ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดกับบริษัทฯ ธุรกรรมการลงทุนในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ดังนี้
1.การครอบครองและรักษาฐานลูกค้าปลายทางในธุรกิจโรงกลั่นของบริษัท โดยบริษัทประกอบธุรกิจโรงกลั้นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ โดยในปัจจุบันลูกค้ารายที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท คือ กลุ่มบริษัท Chevron ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 43.2 ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2564 ดังนั้นการลงทุนในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจึงถือเป็นกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจในแนวดิ่ง ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถครอบครองและรักษาฐานลูกค้าปลายทางในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมได้ และลดการพึ่งพารายได้จากลูกค้าที่เป็นกลุ่มบริษัท Chevron ลง
2.การขยายธุรกิจและการบูรณาการในธุรกิจปลายน้ำ การขยายธุรกิจไปยังธุรกิจปลายน้ำดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจปิโตรเลียมปลายน้ำ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสของบริษัทฯ ในการขยายธุรกิจและเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อาทิ ธุรกิจร้านสะดวกซื้อธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน ธุรกิจบริการเกี่ยวกับรถยนต์ และธุรกิจบริการเชิงพาณิชย์อื่นๆ
นอกจากนี้การขยายธุรกิจดังกล่าวยังทำให้ บริษัทฯ สามารถได้ประโยชน์จากการประสานศักยภาพการดำเนินงานจากการรวมธุรกิจโรงกลั่น และธุรกิจการตลาดและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การบริหาร การจัดเก็บเชื้อเพลิง และการแบ่งปันต้นทุนในธุรกิจต่างๆ 3.การรับรู้ผลของรายได้และกำไรจากธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ภายหลังจากการเข้าลงทุนในธุรกรรมการลงทุนในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมดังกล่าว บริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้และกำไรจากธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และธุรกิจบริการอื่นที่เกี่ยวข้องได้ทันที.
ด้านนายโรเบิร์ต โดบริค กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การเข้าลงทุนในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในครั้งนี้ เป็นไปตามพันธกิจของ SPRC เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันผ่านการลงทุนในเวลาที่เหมาะสม โดยการทำธุรกรรมดังกล่าวจะเพิ่มความหลากหลายและสร้างมูลค่าให้แก่ SPRC
เนื่องจากการลงทุนในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเป็นการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ด้านห่วงโซ่คุณค่าที่จะทำให้ SPRC สามารถให้บริการลูกค้าในประเทศไทยได้ดียิ่งขึ้นผ่านการตลาดและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพของบริษัทฯ เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งกับการลงทุนของ SPRC ในครั้งนี้ ที่จะเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นและสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจของเรา"
SPRC มุ่งมั่นแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในอนาคตเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น และให้ความมั่นใจว่าการดำเนินงานของบริษัทฯ จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบรรลุเป้าหมายการดำเนินธุรกิจเพื่อลดคาร์บอน ในอนาคต ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวขึ้นอยู่กับการอนุมัติของผู้ถือหุ้นในช่วงต้นปี 2566