สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 2.22 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 75.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 2.69 ดอลลาร์ หรือ 3.5% ปิดที่ 80.68 ดอลลาร์/บาร์เรล
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 7.1% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.3% ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 6.0% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.1%
เอลเลน เซนท์เนอร์ นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์กล่าวว่า ตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของสหรัฐอาจทำให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมเดือนก.พ.ปีหน้า และอาจจะไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค. ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยขั้นสูงสุดของเฟดอยู่ที่ระดับ 4.625%
ตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาต่ำกว่าคาดของสหรัฐส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างมาก และช่วยให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ โดยดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ร่วงลง 1.09% แตะที่ระดับ 103.9840 เมื่อคืนนี้
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากภาวะตึงตัวในตลาด หลังจากบริษัททีซี เอเนอร์จี (TC Energy) ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของแคนาดาแถลงว่า ทางบริษัทยังคงซ่อมแซมรอยรั่วของท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน (Keystone) และยังไม่สามารถระบุได้ว่าท่อน้ำมันแห่งนี้จะกลับมาเปิดดำเนินการได้เมื่อใด โดยคีย์สโตนเป็นท่อส่งน้ำมันจากรัฐแอลเบอร์ตาของแคนาดาไปยังแถบกัลฟ์โคสต์และมิดเวสต์ของสหรัฐ
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า การซ่อมแซมรอยรั่วของท่อส่งน้ำมันคีย์สโตนอาจจะใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ และคาดว่าปัญหาดังกล่าวจะส่งผลให้สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ปรับตัวลดลงด้วย
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะลดลง 3.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว