นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงผลกระทบจากการที่ปรับค่าคำนวณค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ประจำงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566ซึ่งภาคเอกชนได้สะท้อนความกังวลจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า โดยย้ำว่าภาครัฐจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาค่าไฟสูง เพราะนอกจากจะกระทบต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ที่ต้องแบกรับภาระค่าไฟสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
และข้อเสนอของภาคอุตสาหกรรม การค้าและบริการ การเงิน ว่า ภาครัฐควรพิจารณามาตรการการแก้ปัญหาต้นทุนพลังงานสูงอย่างเร่งด่วน โดยที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้มีการติดตามถึงสถานการณ์ความผันผวนและราคาพลังงาน รวมไปถึงการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าที่ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบมาโดยตลอด เนื่องจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงมากถึงสองงวดติดต่อกัน จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและครัวเรือน
และต้นทุนในการดำเนินธุรกิจทั้งภาคการผลิตและภาคบริการที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นการบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันประเทศ เนื่องจากภาคการผลิตและภาคบริการเป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และเพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ สร้างงาน สร้างอาชีพให้แก่ประชาชน ภาครัฐควรพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาต้นทุนพลังงานสูงและการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเข้มแข็งและมีศักยภาพสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
ด้านนายสุรงค์ บูลกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การปรับขึ้น-ลงค่าไฟฟ้าจะส่งผลต่อราคาสินค้าและบริการและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) และโอกาสการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ซึ่งการปรับค่า Ft แม้จะมีการปรับเพิ่มต่อเนื่องจนในปัจจุบันอยู่ที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ก็ยังอยู่ในวิสัยที่ภาคธุรกิจและครัวเรือนรองรับได้ แต่การปรับที่จะเกิดขึ้นในเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น กระทบต่อเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น 0.5% ทำให้อัตราเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้ว่าในปี 2566 จาก 3.0% อาจแตะที่ 3.5%
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มเป็นทิศทางขาขึ้น ยิ่งจะซ้ำเติมผู้ประกอบการมากขึ้น ดังนั้น นอกเหนือจากการส่งข้อเสนอไปยังภาครัฐบาลแล้ว ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน จำเป็นต้องมีการปรับตัวในการใช้ไฟฟ้าอย่างเหมาะสมเช่นกัน นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา กกร. ยังได้ยื่นเสนอให้รัฐบาลพิจารณาแนวทางในการบรรเทาภาระผู้ประกอบการจากการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ของเดือนมกราคม - เมษายน 2566 แล้ว ขณะนี้รอการตอบรับจากรัฐบาล
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ขณะนี้ไทยกำลังประสบวิกฤติซ้อนวิกฤติจากการเพิ่งฟื้นจากการแพร่ระบาดโควิด-19 แล้วมาได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ราคาพลังงานพุ่งสูง เงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงทุกภาคส่วน สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิต ทั้งขนาดใหญ่และ SMEs มีต้นทุนสูงขึ้นอย่างมาก ที่ผ่านมา ได้พยายามปรับตัวมาตลอด เช่น การใช้พลังงานทดแทน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อลดต้นทุนและผลกระทบต่อผู้บริโภค ซึ่งหากมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือค่า Ft จะทำให้ต้นทุนการผลิตกระโดดสูงขึ้นทันที
โดยในระยะสั้น ราคาสินค้าและบริการต้องปรับสูงขึ้นตาม ส่งผลให้ค่าครองชีพประชาชนและเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ผู้ประกอบการบางรายอาจไม่สามารถประคองธุรกิจต่อไปได้
ขณะที่ระยะยาว ไทยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทั้งตลาดในประเทศและการส่งออก ไม่สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ได้ เพราะต้นทุนค่าไฟฟ้าในไทยสำหรับภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจจะสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในแถบเดียวกัน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย กว่า 50-120%
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ปัจจุบันนี้สถานการณ์ได้เริ่มที่จะผ่อนคลายจากการเปิดประเทศ ธุรกิจยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว รวมทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็กลับมาเพียง 1 ใน 4 จากช่วงก่อนโควิด-19 ในปีนี้ภาคค้าปลีกและบริการ ประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น เพราะมีการปรับดอกเบี้ยขึ้น ค่าแรงงานขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้น และค่าพลังงานที่เป็นค่าน้ำมันและค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น ซึ่งโดยปกติ สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของภาคค้าปลีกและบริการเป็นสัดส่วน 20% -50% แล้วแต่ประเภทธุรกิจ โดยปัจจุบันมูลค่าค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าที่จ่ายอยู่ เป็นเงินกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี หากต้องปรับเพิ่มค่า Ft จะมีผลให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นอีกกว่า 20% หรือประมาณ 6,000 ล้านบาท ภาคค้าปลีกและบริการเอง ได้มีการพยายามแก้ไขปัญหาและจัดการด้านพลังงานด้วย การหาพลังงานทดแทนมาเสริม เช่น การติดตั้ง Solar rooftop ใช้อุปกรณ์ช่วยประหยัดพลังงาน การปรับใช้แสงธรรมชาติมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่สามารถที่จะมาทดแทนกับค่าใฟฟ้าที่สูงขึ้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้ SMEs 2.4 ล้านราย และการจ้างงานกว่า 13 ล้านคนในภาคค้าปลีกและบริการอยู่รอด จึงขอเสนอภาครัฐให้ทบทวนและพิจารณา 3 ประเด็น ดังนี้
1. ขอให้ภาครัฐมีนโยบายตรึงราคาค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการเหมือนกับที่ภาครัฐตรึงราคาน้ำมันครั้งที่ผ่านมา เพราะไฟฟ้ามีความสำคัญเทียบเท่ากับน้ำมัน ซึ่งมีผลกับต้นทุนการผลิตเป็นอย่างมาก
2. ขอให้มาตรการลดหย่อนภาษีได้ 3 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงาน และงดเก็บภาษีนำเข้าอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ในเรื่องของการลงทุนด้านพลังงานทดแทน
3. ขอให้พิจารณาทบทวนโครงสร้างการคิดค่า FT ให้สอดคล้อง และถูกต้องเพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายและผู้บริโภค โดยไม่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง