ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินเศรษฐกิจจีนปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากการยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ แต่คาดว่าระดับการเติบโตจะยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ท่ามกลางความเสี่ยงจากภาคอสังหาริมทรัพย์และปัญหาทางรัฐภูมิศาสตร์ที่ยังคงอยู่
ในไตรมาส 4/2565 เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอลงอยู่ที่ 2.9%YoY จาก 3.5% YoY ในไตรมาส 3/2565 ปัจจัยหนุนสำคัญของเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 4/2565 มาจากการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ขณะที่การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่สะท้อนผ่านตัวเลขยอดค้าปลีกยังคงหดตัว ตลอดทั้งปี 2565 เศรษฐกิจจีนเติบโตได้ที่ 3.0% ได้รับปัจจัยหนุนหลักมาจากการลงทุน โดยตลอดทั้งปี การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเติบโตอยู่ที่ 5.1% YoY ขณะที่การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคได้รับปัจจัยกดดันจากมาตรการโควิดเป็นศูนย์ (-0.2% YoY) ด้านการส่งออกชะลอตัวในช่วงปลายปีจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยทั้งปีเติบโตได้เพียง 2.0% YoY
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุอีกว่า การยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์จะเข้ามาช่วยหนุนเศรษฐกิจจีนปี 2566 ให้ฟื้นตัวดีขึ้น นำโดยการใช้จ่ายภายในประเทศ ในขณะที่การค้าระหว่างประเทศได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างมาก สถานการณ์การเปิดเมืองของจีนเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ท่ามกลางความเสี่ยงในเรื่องของระบบสาธารณสุข ดังนั้น ในช่วงแรกของการผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์ กิจกรรมทางเศรษฐกิจจึงน่าจะยังไม่สามารถกลับมาได้เต็มที่
อย่างไรก็ดี หลังผ่านเทศกาลตรุษจีนไปอีก 1-2 เดือน คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อน่าจะผ่านจุดสูงสุดของการระบาดไปแล้วและทยอยลดลง ซึ่งคาดว่ามีแนวโน้มเกิดขึ้นในไตรมาส 2/2566 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว นำโดยการใช้จ่ายภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม จีนจะเผชิญความเสี่ยงที่สำคัญหลายด้านที่ต้องจับตา คือ
1.สถานการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่คลี่คลาย
2.ความเสี่ยงทางรัฐภูมิศาสตร์ที่ยังตึงเครียดทั้งสถานการณ์ในไต้หวัน และความขัดแย้งกับสหรัฐฯ
3.ปัญหาเชิงโครงสร้างและความไม่แน่นอนทางนโยบาย
กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจจีนในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตที่ 4.4% YoY โดยคาดว่าการเติบโตจะยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ท่ามกลางความเสี่ยงสำคัญที่ยังต้องจับตามอง .... อ่านฉบับเต็มคลิก