จากรณี กระทรวงแรงงาน ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. ... ผ่านเว็บไซต์ระบบกลางกฎหมาย law.go.th หรือ คลิกที่นี่
ร่างกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว จะกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ของผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยจะปรับเพดานค่าจ้างขั้นสูงจาก 15,000 บาท แบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นสูงสุด 23,000 บาท ตั้งแต่ปี 2573 เป็นต้นไป
ล่าสุด สำนักงานประกันสังคม ได้ไขข้อสงสัยในหลายประเด็น ทั้งที่มาของการปรับเพดานค่าจ้าง จนถึงสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น เมื่อปรับเพิ่มเพดานค่าจ้าง
เริ่มจากประเด็นแรก ที่มาของการปรับเพดานค่าจ้างเป็น 17,500 - 23,000 บาท
1.หลักการสากลในการกำหนดเพดานค่าจ้าง
ค่าจ้างเฉลี่ยของผู้ประกันตนทุกคน X 1.25 และควรปรับทุกปี
2.ปี 2565 ค่าจ้างเฉลี่ยผู้ประกันตน ม.33 = 18,400 บาท
ดังนั้นควรปรับเพดานค่าจ้างเป็น 23,000 บาท
3.การปรับเพดานค่าจ้าง 1.25 เท่า ในทันทีอาจส่งผลกระทบ
เนื่องจากสำนักงานประกันสังคมไม่ได้มีการปรับเพดานค่าจ้างขั้นสูงมากว่า 30 ปี จึงปรับแบบขั้นบันได
เหตุผลความจำเป็นในการปรับเพดานค่าจ้าง
เงินสมทบ กรณีเพดานขั้นสูง
ผู้ประกันที่ค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาท ได้รับผลกระทบหรือไม่
ไม่ได้รับผลกระทบ โดยผู้ประกันตนจะนำส่งเงินสมทบ 5% ของค่าจ้างตามจริงที่นายจ้างรายงงานต่อสำนักงานประกันสังคม เช่น
กรณีค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท ผู้ประกันตนจะนำส่งเงินสมทบเดือนละ 500 บาท(10,000 x 5% = 500)
*ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้าง 15,000 ขึ้นไป มีประมาณ 37% ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะต้องส่งเงินสมทบเพิ่มจากการปรับเพดาฯค่าจ้าง แต่จ่ายอัตราเงินสมทบ 5% เท่าเดิม
สิทธิประโชน์ที่เพิ่มขึ้นเมื่อปรับเพิ่มเพดานค่าจ้าง
เจ็บป่วย
ว่างงาน
บำนาญ(ส่งเงินสมทบ 15 ปี)*
บำนาญ(ส่งเงินสมทบ 25 ปี)*
*คำนวณจากสมมติฐานค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณอายุเท่ากับเพดานค่าจ้างตามตาราง