สาวออฟฟิศยังไม่ได้รับ "รายได้และการจ้างงาน"อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม

18 เม.ย. 2566 | 06:22 น.
อัพเดตล่าสุด :18 เม.ย. 2566 | 06:33 น.

PwC เผยผลสำรวจ พบสาวออฟฟิศในกลุ่มประเทศ OECD ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมและเท่าเทียม ทั้งรายได้และการจ้างงาน พบยังมีช่องว่างการให้อำนาจในการตัดสินใจระหว่างเพศ ระบุต้องใช้เวลามากกว่า 50 ปี ปิดช่องว่างรายได้ระหว่างเพศ

นางสาวลาริส สตีโลว์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส PwC ประเทศสหราชอาณาจักร และผู้เขียนบทวิเคราะห์ดัชนีผู้หญิงในสถานที่ทำงาน กล่าวว่า ผู้หญิงอายุ 20 ปีที่เข้าสู่ตลาดแรงงานในวันนี้ จะไม่เห็นความเท่าเทียมของค่าจ้างในช่วงชีวิตการทำงานของเธอ ในอัตราปัจจุบันที่ช่องว่างรายได้ระหว่างเพศกำลังถูกปิดลง จะต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งศตวรรษในการเดินหน้าไปสู่ความเท่าเทียมของรายได้ระหว่างเพศ 

 

หากการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้สอนอะไรเรา ก็คงเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถพึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจได้เพียงอย่างเดียว เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางเพศ เว้นแต่เราต้องการรออีก 50 ปีหรือมากกว่านั้น

  • อำนาจในการตัดสินใจในสถานที่ทำงาน 

ดัชนีการให้อำนาจในการตัดสินใจทั่วโลกของ PwC พบว่า มีช่องว่างในการให้อำนาจในการตัดสินใจระหว่างเพศอย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้ชายได้รับอำนาจในการตัดสินใจในสถานที่ทำงานมากกว่าผู้หญิง ซึ่งดัชนีนี้อิงจากการวิเคราะห์มุมมองในเรื่องเพศของผู้หญิงทำงานจำนวนเกือบ 22,000 รายทั่วโลก และวัดปัจจัย 12 ข้อที่ส่งผลต่อการเสริมอำนาจการตัดสินใจในสี่มิติ ประกอบไปด้วย ความเป็นอิสระ ผลกระทบ ความหมายและความเป็นเจ้าของ และความมั่นใจและความสามารถ

 

สำหรับปัจจัย 4 ข้อ ที่มีความสำคัญที่สุดในการให้อำนาจในการตัดสินใจในสถานที่ทำงานสำหรับผู้หญิง ซึ่งยังถือเป็น 4 ข้อ ควรพิจารณาสำหรับผู้หญิงที่กำลังตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพด้วย มีดังต่อไปนี้ 

  • ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม (72%)
  • ความรู้สึกเติมเต็มในหน้าที่การงาน (69%)
  • สถานที่ทำงานที่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริง (67%)
  • มีทีมงานที่ใส่ใจในชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาวะ (61%)

นอกจากนี้ ผลวิจัยพบว่า ผู้ชายและผู้หญิงมีความคล้ายคลึงกันในวงกว้าง ถึงความสำคัญของแต่ละปัจจัยที่มีต่อพวกเขา แต่ผู้ชายมีแนวโน้มมากกว่าผู้หญิงที่จะกล่าวว่าพวกเขาได้ประโยชน์ในที่ทำงานจากปัจจัยเหล่านี้จริง ๆ ขณะที่ช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผู้หญิง คือ ผลตอบแทนที่เป็นธรรม (ช่องว่าง 34 คะแนน) การเลือกว่าจะทำงานเมื่อไหร่ (ช่องว่าง 27 คะแนน) ทำงานที่ไหน (ช่องว่าง 22 คะแนน) และทำงานอย่างไร (ช่องว่าง 22 คะแนน) ความรู้สึกเติมเต็มในหน้าที่การงาน (ช่องว่าง20 คะแนน) รวมถึงการมีผู้จัดการที่ช่วยพิจารณามุมมองของพวกเขาเมื่อต้องตัดสินใจ (ช่องว่าง 19 คะแนน)

  • ทำไมการให้อำนาจในการตัดสินใจจึงสำคัญ?

ผลสำรวจพบว่า ผู้หญิงที่ได้รับคะแนนการให้อำนาจในการตัดสินใจในสถานที่ทำงานสูงที่สุด มีแนวโน้มที่จะขอขึ้นเงินเดือน (55%) และขอเลื่อนตำแหน่งมากกว่า(52%) เปรียบเทียบกับคะแนน 31% (ช่องว่าง 24 คะแนน) และ 26% (ช่องว่าง 26 คะแนน) ของผู้หญิงโดยรวมตามลำดับ

 

ทั้งนี้ ผู้หญิงที่ได้รับอำนาจในการตัดสินใจในสถานที่ทำงานมากที่สุด (Most empowered women) มีแนวโน้มที่จะแนะนำนายจ้างของพวกเธอให้เป็นสถานที่ที่น่าทำงาน (67%) หรือคิดเป็นอัตราร้อยละที่ 32 จุด สูงกว่าผู้ตอบแบบสามผู้หญิงโดยรวม 

 

นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่จะกล่าวว่า มีความพึงพอใจกับงาน (54%) เปรียบเทียบกับ 25% ของผู้หญิงโดยรวม (ช่องว่าง 29 คะแนน)

 

จากข้อมูลของดัชนีการให้อำนาจในการตัดสินใจทั่วโลกของ PwC ผู้หญิงทำงานที่ได้รับอำนาจมากที่สุดอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม ที่ถูกขับเคลื่อนโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งผู้หญิงได้รับอำนาจในการตัดสินใจมากกว่าผู้ชายเล็กน้อย 

 

สำหรับผู้หญิงที่ทำงานในกลุ่มธุรกิจบริการทางการเงิน และพลังงาน สาธารณูปโภคและทรัพยากร ถือเป็นกลุ่มที่สองและกลุ่มที่สามรองลงมา แต่ผู้ชายได้รับอำนาจในการตัดสินใจมากกว่าผู้หญิงอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มธุรกิจบริการทางการเงิน

 

นาย บ็อบ มอริตซ์ ประธาน PwC โกลบอล กล่าวว่า ซีอีโอและนายจ้างควรทำทุกสิ่งที่ทำได้ เพื่อสร้างวัฒนธรรมในสถานที่ทำงานที่สมดุล ที่ผู้หญิงจะรู้สึกได้ถึงการได้รับอำนาจในการตัดสินใจที่เท่าเทียมกับผู้ชาย และได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมและมีความเป็นอิสระ มีความหมาย และรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของในสถานที่ทำงาน นี่จะช่วยให้เกิดประโยชน์สองต่อในการสร้างความไว้วางใจทั่วทั้งองค์กร และสนับสนุนความก้าวหน้าของผู้หญิง 

 

ในโลกธุรกิจวันนี้ ขึ้นอยู่กับเราทุกคน ในฐานะผู้นำที่จะต้องกำหนดทิศทางจากระดับบนเพื่อขับเคลื่อนวัฒนธรรมที่ยอมรับความแตกต่างและสร้างความเท่าเทียมให้กับพนักงานทุกคน

 

บทวิเคราะห์ของ PwC ระบุด้วยว่า นายจ้างสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมเพื่อให้อำนาจในการตัดสินใจแก่ผู้หญิงในสถานที่ทำงาน โดยเน้นให้ผลตอบแทนที่เป็นธรรม ความเป็นอิสระ ความเป็นผู้นำที่ยอมรับความแตกต่าง และจัดทำกลยุทธ์ความหลากหลายที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

 

ทั้งนี้ ผู้หญิงที่ทำงานเต็มเวลา ณ สถานที่ทำงาน มีคะแนนการได้รับอำนาจในการตัดสินใจที่ต่ำที่สุด แนวโน้มดังกล่าว ยังไปในทิศทางเดียวกับผู้ชาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความเป็นอิสระในการเลือกวิธี สถานที่ และเวลาทำงาน ช่วยสร้างความรู้สึกว่าพนักงานมีอำนาจตัดสินใจมากขึ้น 

 

นอกจากนี้ ผู้หญิงที่ได้รับอำนาจในการตัดสินใจมากที่สุด ยังมีโอกาสมากกว่าในการทำงานระยะไกล (74%) แต่ผู้หญิงเกือบครึ่ง (48%) ไม่สามารถทำงานระยะไกลได้ หากพิจารณาจำนวนของผู้หญิงกว่า 11,285 รายที่สามารถทำงานระยะไกลได้พบว่า 29% ทำงานเต็มเวลาจากระยะไกล และ 56% มีรูปแบบการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid work) ในระดับหนึ่ง

 

นางสาว พารุล มุนชี หุ้นส่วน การเปลี่ยนแปลงกำลังแรงงาน South East Asia Consulting PwC ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า ความเป็นอิสระ คือ สิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนอำนาจการตัดสินใจให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ปัจจุบันผู้หญิงมีอิสระน้อยลงในการเลือกวิธี เวลา และสถานที่ในการทำงาน ความยืดหยุ่น จึงถือเป็นข้อเสนอที่บุคลากรมากความสามารถต้องการ และเป็นสิ่งที่นายจ้างไม่สามารถเพิกเฉยได้ในขณะที่พวกเขาพยายามส่งเสริมความหลากหลาย การมีส่วนร่วม และนวัตกรรม เพื่อวางองค์กรของตนเองให้เป็นนายจ้างในดวงใจของพนักงาน

 

ดร. ภิรตา ภักดีสัตยพงศ์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา PwC ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันได้เห็นความเท่าเทียมทางเพศในภาคเอกชนของไทยมีการปรับตัวที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยบริษัทขนาดใหญ่มีสัดส่วนของซีอีโอ หรือผู้บริหารที่เป็นผู้หญิงมากขึ้นไม่แพ้ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค รวมทั้งบางองค์กรมีการจัดทำ KPI ในการจ้างงานหรือการเลื่อนตำแหน่งให้มีสัดส่วนที่สมดุลระหว่างผู้หญิงและผู้ชายมากขึ้น ซึ่งภาคธุรกิจที่เห็นการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดอยู่ในกลุ่มธุรกิจบริการทางการเงิน ไอทีบริการ 

 

ขณะที่กลุ่มพลังงาน และขนส่ง ยังคงมีสัดส่วนของแรงงานชายเยอะอยู่ เพราะอัตราของนักศึกษาจบใหม่ในสาขานี้ส่วนมากเป็นผู้ชาย สำหรับภาครัฐ ยังถือว่ามีช่องว่างอยู่เพราะผู้นำองค์กรหรือสถาบันส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้ชาย

 

อย่างไรก็ดี ผู้บริหารไทยส่วนใหญ่ยังคงต้องปรับมุมมองเรื่องประโยชน์ในการเพิ่มบทบาทของผู้หญิงภายในองค์กร และยอมรับความแตกต่างทางเพศอย่างจริงจังตั้งแต่กระบวนการรับคน ต้องยกเลิก stereotype เดิม ๆ ว่า ถ้ารับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไอทีหรือวิศวกรจะต้องเป็นผู้ชาย ขณะที่เอชอาร์ต้องเป็นผู้หญิง รวมไปถึงการวางแผนexecutive pipeline ให้มีความหลากหลายขึ้นเพื่อลดช่องว่างทางเพศ และเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้มีโอกาสเติบโตในสายอาชีพเทียบเท่ากับผู้ชาย