ครม. แก้สัญญาอู่ตะเภา-เมืองการบิน ปรับเกณฑ์รายได้-จ่ายค่าตอบแทน

06 มิ.ย. 2566 | 08:23 น.
อัปเดตล่าสุด :06 มิ.ย. 2566 | 08:29 น.

ครม. รับทราบรายงานแก้ไขปัญหาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก แก้สัญญาสัมปทานเอกชนคู่สัญญา ทั้งการปรับเกณฑ์การจัดสรรรายได้ และการจ่ายค่าตอบแทนให้รัฐใหม่

วันนี้ (6 มิถุนายน 2566) ที่ทำเนียบรัฐบาล ที่ประชุม ครม. ได้มีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โดยมีการแก้ไขในสัญญาร่วมลงทุนระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพิเศษภาคตะวันอก (สกพอ.) และบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น  เอกชนคู่สัญญา

ทั้งนี้ มติครม.เมื่อ 30 ตุลาคม 2561 มอบหมายให้ สกพอ.ลงนามในสัญญาร่วมลงทุนกับ บริษัท อู่ตะเภาฯ ในรูปแบบ PPP Net Cost และในช่วงปี 2564-2565 เอกชนคู่สัญญา ขอใช้สิทธิผ่อนผันตามข้อ 13 ของสัญญาร่วมลงทุนจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ รวมถึงกรณีเกิดโรคระบาดที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 

ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกัน เพื่อพิจารณาเหตุผ่อนผันรวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาและสามารถหาข้อสรุปร่วมกัน สรุปได้เป็นข้อ ๆ ดังนี้

1. การร่วมกันผลักดันการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก

เห็นควรผลักดันให้มีการลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก  เพื่อเป็นจุดหมายปลายทางที่มีคุณภาพ มีเอกลักษณ์โดดเด่น และมีความสำคัญในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะเพิ่มปริมาณการเดินทางให้สูงขึ้นได้โดยเร็วและอย่างยั่งยืน

โดยเห็นควรให้เอกชนเพิ่มการลงทุนในการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก (EasternAirportCity) จากเดิมประมาณ 4,500 ล้านบาทเป็น ประมาณ 40,000 ล้านบาท และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาโครงการฯ กรรมสิทธิ์ในงานพัฒนาเมืองการบินฯ ทั้งหมดจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ 

ทั้งนี้ สกพอ. จัดให้มีมาตรการสนับสนุนทั้งด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี ในการประกอบกิจการ การทำงาน และการอุปโภคบริโภค และในด้านการบินและโลจิสติกส์ ให้มีผลใช้บังคับและสามารถเริ่มใช้ประโยชน์ในมาตรการสนับสนุนทั้งหมดดังกล่าวได้ภายในระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่เริ่มนับระยะเวลาโครงการฯ และจะมีการทบทวนพัฒนามาตรการ สนับสนุนดังกล่าวทุก ๆ 10 ปี 

2. สนับสนุนเอกชนคู่สัญญาแก้ไขปัญหาทางการเงิน เพื่อบรรเทาผลกระทบ

สกพอ. จะพยายามอย่างดีที่สุด (Best Efforts) โดยสุจริตภายใต้กฎหมายและ พ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ในการสนับสนุนการจัดหาแหล่งเงินกู้ของเอกชน ในการดำเนินโครงการฯ ให้ได้เงื่อนไขที่ดีกว่าตลาดของสถาบันทางการเงินเอกชนทั่วไป และใกล้เคียงกันกับโครงการของรัฐที่มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกันจนกว่า ผลกระทบจะสิ้นสุดลง เพื่อเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือของโครงการฯ 

3. การปรับหลักเกณฑ์การพัฒนางานหลักของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา 

คู่สัญญาตกลงปรับระยะการพัฒนางานหลักของสนามบินอู่ตะเภา เช่น อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ ศูนย์การขนส่งภาคพื้น การให้บริการภาคพื้นดิน จากเดิมกำหนดไว้ 4 ระยะ เปลี่ยนเป็น 6 ระยะ ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร ดังนี้

  • ระยะที่ 1 จำนวน 12 ล้านคนต่อปี 
  • ระยะที่ 2 จำนวน 15.9 ล้านคนต่อปี 
  • ระยะที่ 3 จำนวน 22.4 ล้านคนต่อปี 
  • ระยะที่ 4 จำนวน 30 ล้านคนต่อปี 
  • ระยะที่ 5 จำนวน 45 ล้านคนต่อปี 
  • ระยะที่ 6 จำนวน 60 ล้านคนต่อปี

ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารของแต่ละระยะสอดคล้อง กับประมาณการผู้โดยสารที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในระยะแรกจะพัฒนาให้งานหลักฯ มีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร ไม่น้อยกว่า 12 ล้านคนต่อปี และจะลงทุนในระยะถัดไป (ระยะที่ 2 – 6) เมื่อมีปริมาณผู้โดยสารถึง 80% ของขีดความสามารถ ในการรองรับของระยะปัจจุบัน  โดยโครงการฯ ยังกำหนดเป้าหมายให้สนามบินอู่ตะเภารองรับ ผู้โดยสารในปีสุดท้ายได้ 60 ล้านคนต่อปีเท่าเดิม 

4. ปรับหลักเกณฑ์การจัดสรรรายได้ของเอกชนคู่สัญญา 

คู่สัญญาตกลง ให้ปรับหลักเกณฑ์การจัดสรรรายได้ของเอกชนคู่สัญญาในช่วงเวลาตามเงื่อนไข โดยจัดลำดับรายการ ที่เอกชนคู่สัญญาต้องชำระ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ค่าเช่าที่ดินให้รัฐ การชำระคืนดอกเบี้ย และเงินต้นของเงินกู้และส่วนแบ่งรายได้รัฐ เพื่อให้โครงการฯ สามารถดำเนินต่อไปได้ โดยเอกชนคู่สัญญาสามารถชำระรายได้ของรัฐได้อย่างเหมาะสม เป็นธรรม และสอดคล้องกับหลักความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน 

สำหรับการจัดสรรรายได้ใหม่ ตามแนวทางแก้ปัญหาฯ ดังนี้ 

  • ลำดับที่ 1 ค่าใช้จ่าย ในการดำเนินโครงการ 
  • ลำดับที่ 2ค่าเช่าที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง ของรัฐ 
  • ลำดับที่ 3 ชำระ ดอกเบี้ย และ เงินต้น 
  • ลำดับที่ 4 เงินสดสำรองตามมาตรฐาน การชำระ คืนเงินกู้ 
  • ลำดับที่ 5 ส่วนแบ่ง รายได้ให้รัฐ (5% ของรายได้) 
  • ลำดับที่ 6 ผลตอบแทน ให้รัฐเพิ่มเติม ตามซองข้อเสนอ และ รายได้รัฐ ที่ค้างชำระ 

การบังคับใช้หลักเกณฑ์การจัดสรรรายได้ข้างต้นจะสิ้นสุดเมื่อมีกรณีดังต่อไปนี้ 

1. จำนวน ผู้โดยสารรายปีสะสมที่เกิดขึ้นจริง มีจำนวนเท่ากับการคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารตามข้อเสนอ ทางด้านเทคนิคของเอกชนคู่สัญญา 

2. เอกชนคู่สัญญาได้ชำระเงินให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกลำดับการชำระครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การจัดสรรรายได้ข้างต้นแล้ว รวมทั้งสถานะทางการเงินของเอกชนคู่สัญญาไม่อยู่ในสถานะผิดเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ (No Default) และไม่อยู่ในสถานะที่ผู้ให้กู้เงินเริ่มใช้สิทธิเร่งรัดชำระหนี้เงินกู้

5. การเลื่อนวันเริ่มนับระยะเวลาให้บริการและบำรุงรักษาโครงการฯ 

หากมีการก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จ แต่ปริมาณผู้โดยสารมีไม่ถึง 5.6 ล้านคนต่อปี  ให้เลื่อนการเริ่มนับระยะเวลาปีที่ 1 ในปีที่มีปริมาณ ผู้โดยสารต่อปี จำนวน 5.6 ล้านคน โดยช่วงเวลาที่ยังไม่มีการเริ่มนับปีที่ 1 นั้น ให้เอกชนคู่สัญญา ชำระค่าตอบแทนรัฐ ดังนี้

1. ชำระค่าเช่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างแก่รัฐจำนวน 100 ล้านบาทต่อปี จากเดิม 820 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีแรกของการให้บริการและการบำรุงรักษาโครงการฯ และเพิ่มขึ้น ทุก ๆ 3 ปี จนสิ้นสุดระยะเวลาโครงการฯ 

2. ชำระรายได้ของรัฐ 100 ล้านบาทต่อปี จากเดิม 1,300 ล้านบาท ในปีที่1 และเพิ่มขึ้นในปีถัดไปทุกปีจนสิ้นสุดระยะเวลาโครงการฯ

3. ชำระรายได้ของรัฐแก่ สกพอ. เป็นจำนวนเท่ากับกระแสเงินสดคงเหลือ จากการดำเนินโครงการฯ ภายหลังการชำระดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นที่จำเป็นต้องชำระตามสัญญาเงินกู้แล้ว ไม่เกิน 5% ของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในปีนั้น ๆ ของเอกชนคู่สัญญา

ประโยชน์ที่ได้รับจากการเยียวยา

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประโยชน์ที่ได้รับจากการเยียวยาผลกระทบตามหลักการแก้ไขปัญหาข้างต้นว่า นอกจากจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนในการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาในระยะที่ปริมาณผู้โดยสารยังได้รับผลกระทบ ยังเพิ่มความยืดหยุ่นให้เอกชนคู่สัญญาสามารถดำเนินโครงการฯ ได้โดยที่รัฐยังได้รับชำระ ส่วนที่เป็นรายได้ของรัฐ ตามจำนวนเดิมพร้อมค่าเสียโอกาส 

ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้าผลักดันโครงการฯ ให้เป็นจุดหมายปลายทางในการเดินทางของประเทศไทย และภูมิภาคเอเชีย เพิ่มการจ้างงานในพื้นที่ใกล้เคียงในระยะยาว และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของโครงการ ฯ