นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในเดือนมกราคม-เมษายน ปี 2566 จำนวน 12 ฉบับ มีมูลค่ารวม 25,831.09ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ สูงถึง 74.75%
โดยทุเรียนสดเป็นสินค้าอันดับ 1 ที่มีการใช้สิทธิ FTAส่งออกไปจีนภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน มีมูลค่าสูงถึง 2,022.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มสูง 85.31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้ามูลค่า1,091.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยกรมการค้าต่างประเทศได้มีการลงพื้นที่เพื่อเข้าถึงผู้ประกอบการไทยในภูมิภาคต่างๆ ให้ทราบถึงประโยชน์จากการใช้สิทธิ FTA โดยเฉพาะทุเรียนสดที่ส่งออกไปจีนจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีนำเข้าเป็น 0% ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และกรอบความตกลง RCEP ซึ่งถือเป็นการช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการไทยได้เป็นอย่างดี
สำหรับกรอบความตกลง FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่อันดับ 1 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน มูลค่า 9,451.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 73.35% โดยเป็นการใช้สิทธิส่งออกไปอินโดนีเซียสูงสุด มูลค่า 2,553.09 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาเลเซีย มูลค่า 2,227.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เวียดนาม มูลค่า 2,157.04 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ มูลค่า 1,577.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ (น้ำหนักไม่เกิน 5 ตัน) น้ำตาล เครื่องปรับอากาศ รถยนต์เพื่อขนส่งบุคคล (1,500 - 3,000 cc)น้ำมันปิโตรเลียมและน้ำมันจากแร่บิทูมินัส เป็นต้น
อันดับ 2 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 7,850.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 92.40% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ทุเรียนสด ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มันสำปะหลัง สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง น้ำตาล ฝรั่ง มะม่วง และมังคุด และชิ้นเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็ง เป็นต้น
อันดับ 3 ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 2,117.61 ล้านดอลาลร์สหรัฐฯมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 69.67% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ เนื้อไก่และเครื่องในไก่ปรุงแต่ง เนื้อไก่แช่เย็นจนแข็ง เดกซ์ทรินและโมดิไฟด์สตาร์ช กุ้งปรุงแต่ง กระสอบและถุงทำด้วย โพลิเมอร์ของเอทิลีน ลวดและเคเบิลทำด้วยทองแดง เป็นต้น
อันดับ 4 ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 1,875.14ล้านดอลลาร์สหรัฐฯมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 67.41%โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ รถยนต์และยานยนต์อื่นๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) รถยนต์ขนส่งบุคคลขนาด2,500ccขึ้นไปและขนาด 1,000 - 1,500 cc ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ และปลาทูน่าปรุงแต่ง เป็นต้น
อันดับ 5 ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 1,681.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 62.72% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ลวดทองแดง สารประกอบออร์แกโน-อินออร์แกนิก ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ เครื่องรับสำหรับวิทยุกระจายเสียง โพลิ (ไวนิลคลอไรด์) และฟอยล์อะลูมิเนียมที่มีความหนาไม่เกิน 0.2 มิลลิเมตร เป็นต้น
สำหรับความตกลง RCEPในเดือนมกราคม-เมษายน 2566 มีการส่งออกไปยัง 10 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และเมียนมา มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 421.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 106.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญภายใต้ความตกลง RCEP อาทิ น้ำมันหล่อลื่น ปลาทูน่ากระป๋อง เครื่องดื่มชูกำลัง มันสำปะหลังเส้น หัวเทียน เลนส์ ปริซึม กระจกเงา ฟล็อก ผงสิ่งทอ และมิลเน็ป เป็นต้น
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2566 เป็นต้นมา ความตกลง RCEP ได้มีผลบังคับใช้กับประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศสุดท้ายที่ความตกลง RCEP ได้เริ่มมีผลบังคับใช้ด้วย ส่งผลให้ขณะนี้ ความตกลง RCEP มีผลบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิกครบทั้ง 15 ประเทศเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นข่าวดีที่ผู้ส่งออกไทยได้มีทางเลือกในการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง FTA ต่างๆ ที่ไทยมีอยู่ได้มากขึ้น