ปิดฉาก ลดภาษีสรรพสามิตดีเซล 5 บาท รัฐบาลประกาศไม่ต่ออายุแล้ว

11 ก.ค. 2566 | 06:33 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ก.ค. 2566 | 09:08 น.

ปิดฉาก ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร รัฐบาลประกาศไม่ต่ออายุแล้ว หลังจากสิ้นสุดมาตรการตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป หวั่นกระทบรัฐบาลใหม่ เปลี่ยนใช้กองทุนน้ำมันช่วยแทน

วันนี้ (11 กรกฎาคม 2566) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบแนวทางการดำเนินมาตรการลดภาษีสรรพสามิตเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซล โดยตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป รัฐบาลจะไม่ต่ออายุการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตรแล้ว

ทั้งนี้จากการรายงานข้อมูลพบว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่าน ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากระดับราคาน้ำมันดีเซลที่ทะยานสูงขึ้น ทำให้รัฐบาลได้ออกมาตรการมาดูแลเพื่อให้ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศราคาไม่สูงเกิน 35 บาทต่อลิตร

โดยดำเนินการผ่านมาตรการลดภาษีสรรพสามิตรน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร และใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศไทยราคาต่ำกว่าหลายประเทศ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

แต่ปัจจุบันด้วยข้อจำกัดทางกฎหมาย โดยเฉพาะการเป็นรัฐบาลรักษาการในปัจจุบัน การพิจารณามาตรการหรืแดครงการต่าง ๆ จะมีข้อจำกัด คือ กรณีที่ครม.ได้กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงาน หรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อครม.ชุดต่อไปตามมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จะไม่สามารถดำเนินการได้นั้น ทำให้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตรน้ำมันดีเซลทำต่อไม่ได้ เพราะจะไปผูกพันกับรัฐบาลต่อไป

นางสาวรัชดา กล่าวว่า มาตรการลดภาษีสรรพสามิตรน้ำมันดีเซลในช่วงที่ผ่านมาได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 โดยออกเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการลดภาษีสรรพสามิตรน้ำมันดีเซล รวม 7 ฉบับ ซึ่งฉบับสุดท้ายจะสิ้นสุดระยะเวลาใช้บังคับในวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 นี้ เท่านั้น 

ปิดฉาก ลดภาษีสรรพสามิตดีเซล 5 บาท รัฐบาลประกาศไม่ต่ออายุแล้ว
 

“แนวทางบริหารตามมาตรการนี้ รัฐบาลรักษาการก็มีข้อจำกัด ดังนั้นเรื่องการใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตรน้ำมันดีเซลจะจบแค่วันที่ 20 กรกฎาคม 2566 นี้ เท่านั้น ส่วนการดูแลโดยใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ก็ถือเป็นอำนาจของคระกรรมการกองทุนฯ จะไปพิจารณาแนวทางช่วยบรรเทาภาระประชาชนต่อไป โดยตอนนี้แนวโน้มราคาน้ำมันอยู่ที่ทิศทางที่ลดลงเรื่อย ๆ จนเกือบมามีราคาใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิดแล้ว”