นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญเลื่อนการพิจารณาคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ขอให้พิจารณากรณีรัฐสภามีมติไม่เห็นชอบกับการเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
และกำหนดวันนัดพิจารณาคำร้องในวันที่ 16 ส.ค. จากเดิมที่คาดว่าจะเป็นวันที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา หอการค้าฯ มองว่าประเด็นดังกล่าวถือเป็นเรื่องสำคัญและประชาชนให้ความสนใจ ซึ่งศาลต้องใช้ดุลยพิจและข้อมูลต่าง ๆ ประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ และมองว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีและการฟอร์ม ครม. ชุดใหม่ ยังอยู่ในช่วงเวลาที่เคยประเมินไว้ซึ่งยังไม่ถือว่าล่าช้าจนเกินไป
ทั้งนี้ กรณีที่ศาลมีคำสั่งว่ากรณีดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือเป็นไปแนวทางที่เห็นว่ารัฐสภาได้ดำเนินการโดยชอบแล้ว เชื่อว่าหลังจากนั้นรัฐสภาคงจะดำเนินการให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุดต่อไป ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นวันที่ 17 – 18 ส.ค. ทำให้เราอาจจะได้ ครม.ชุดใหม่ ช่วงปลายเดือนสิงหาคม ถึงกลางเดือนกันยายนก่อนจะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
โดยหากไทม์ไลน์ต่าง ๆ เป็นเช่นนั้น ภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลชุดใหม่คงจะต้องเร่งจัดทำงบประมาณประเทศ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อดึงกำลังซื้อและความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะตรงกับไตรมาส 4 ที่เป็นฤดูการท่องเที่ยวของไทยที่หลายฝ่ายประเมินว่าจะเป็นจุดฟื้นของเศรษฐกิจในปีนี้
ส่วนกรณีที่ศาลมีคำสั่งว่าการดำเนินการของรัฐสภาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และมีข้อวินิจฉัยเพิ่มเติมไปในแนวทางดังกล่าว ก็คงต้องรอความชัดเจนว่าจะส่งผลให้การเลือกนายกรัฐมนตรีจะมีทิศทางเป็นอย่างไรและมีช่วงเวลานานมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องมาประเมินสถานการณ์กันอีกครั้ง แต่เชื่อมั่นว่าศาลท่านจะมีการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ด้วยความรอบคอบและรวดเร็วที่สุด เพราะการมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศเร็วเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากในสถานการณ์เช่นนี้
สำหรับประเด็นที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลได้ยุติการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยจะ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเองซึ่งอยู่ในระหว่างรวบรวมเสียงโหวตนายกรัฐมนตรีในรัฐสภานั้น หอการค้าฯ มองว่าส่วนนี้เป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองที่จะต้องดำเนินกระบวนการตามกรอบของกฎหมายและรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ และหากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจนสำเร็จ ก็เชื่อว่าน่าจะสามารถเร่งดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจได้ทันที เพราะพรรคเพื่อไทยเคยมีประสบการณ์ในด้านการบริหารประเทศมาก่อนหน้านี้ และหลายนโยบายในสมัยที่เป็นรัฐบาลก็สามารถดำเนินการจนประสบความสำเร็จ ส่วนประเด็นความเห็นต่างและการชุมนุมที่เกิดขึ้นถือเป็นสิทธิของประชาชนที่จะแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย โดยหากไม่มีการชุมชนที่ยืดเยื้อหรือสถานการณ์ที่รุนแรงก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตได้ดีและเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ตาม วันนี้สถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในส่วนของภาคเอกชนนั้นไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็พร้อมทำงานร่วมกัน โดยที่ผ่านมาได้ส่งสัญญาณอย่างต่อเนื่องว่าสิ่งสำคัญคือการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งล่าช้ายิ่งไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจประเทศ