นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมในวิถีชีวิตที่เร่งรีบและมีการแข่งขันสูง ทำให้เกิดภาวะความเครียดและวิตกกังวล สิ่งที่ตามมา คือ การนอนไม่หลับ ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อสุขภาพกายและจิตใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ
เนื่องจากทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของประชากรลดลง “Sleep Economy” หรือ “Sleep-Health Economy” จึงเป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่น่าจับตามอง โดยปัจจุบันมีการพัฒนาสินค้าและบริการที่ช่วยให้สามารถนอนหลับได้ดีขึ้น
และมีการคาดการณ์มูลค่า Sleep Economy หรือเศรษฐกิจเกี่ยวกับการนอนของโลกว่า ในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตเป็น 585,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 432,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2562 สะท้อนความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการการนอนหลับอย่างมีคุณภาพมากขึ้น
สำหรับข้อมูลการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า คนไทย30% หรือประมาณ 21 ล้านคน นอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน เช่นเดียวกับหลายประเทศอย่าง สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี สหราชอาณาจักร แคนาดา สิงค์โปร์ และมาเลเซีย เป็นต้น ที่มีชั่วโมงการนอนใกล้เคียงกัน โดยจากปัญหาการนอนตลาดของคนนอนไม่หลับจึงเป็นโอกาสสำหรับสินค้าและบริการที่ช่วยในเรื่องการนอน โดยในปี 2562 อุตสาหกรรมที่ช่วยเรื่องการนอนไม่หลับในตลาดโลก มีมูลค่า 432,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นกลุ่มเครื่องนอน มูลค่า 194,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 45%
กลุ่มเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องนอน มูลค่า 106,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 25% ผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริม และบริการทางแพทย์ มูลค่า 58,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 13% กลุ่มเทคโนโลยีการนอน บริการ แอปพลิเคชันที่ช่วยเรื่องการนอนหลับ และอื่น ๆ มูลค่า 42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 10% และกลุ่มชุดนอน มูลค่า 31,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 7%
สำหรับตลาดของคนนอนไม่หลับในประเทศไทย เดิมอยู่ในกลุ่มผู้มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันขยายตัวไปสู่กลุ่มคนทำงานและวัยรุ่น เช่นเดียวกับทิศทางของโลก โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงาน ช่วงอายุ 18-40 ปี ที่กำลังประสบปัญหานอนไม่หลับ หรือนอนหลับอย่างไม่มีคุณภาพจึงเป็นโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการนอนหลับ และเป็นตลาดที่น่าจับตามองสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยสามารถนำผลิตภัณฑ์ของไทย อาทิ ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล (ครีมที่มีกลิ่นและส่วนผสมช่วยให้ผ่อนคลาย) กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือเครื่องดื่มและสารสกัดต่าง ๆ เช่น วิตามินบี แมกนีเซียม เมลาโทนิน กาบา และแอลธีอะนีน นำมาผสมผสานกับสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณช่วยในการนอนหลับ ให้มีรสและกลิ่นที่แปลกใหม่ เช่น ใบบัวบก ขิง มะนาว มะลิ ฟ้าทะลายโจร และมะเฟือง
นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรที่ช่วยในการรักษาโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า หรือบรรเทาความเครียด เช่น สารสกัดจากใบชา และบัวบก ที่มีสารแอลธีอะนีน ใช้เป็นยาในศาสตร์อายุรเวท และการแพทย์แผนจีน ช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวล น้ำมันรำข้าว และจมูกข้าว มีสารกาบา ช่วยผ่อนคลายความกังวล ทำให้นอนหลับ ฟักทอง มีสารเบต้าแคโรทีน ช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนิน (Serotonin) และนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine: NE) ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้า และจากผลการศึกษาทางคลินิกของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในระยะเวลา 6 สัปดาห์ พบว่าสารเคอร์คูมินอยด์ (Curcuminoid) ในเหง้าขมิ้นชันมีสรรพคุณช่วยลดความเครียดได้ร้อยละ 62.5 ของจำนวนผู้รับทดสอบ
อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสมองและผ่อนคลายความเครียดมีการขยายตัวต่อเนื่องทั่วโลก มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสารสกัดสมุนไพรที่มีแนวโน้มเติบโตเร็วถึง 9.2% ในช่วงระยะเวลา 8 ปี (ปี 2564 - 2571) สอดคล้องกับข้อมูลของ iiMedia Research (2021) โดยตลาดจีนมีความต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการนอนเพิ่มขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ช่วยนอนหลับ อาหารเสริม เจลลี่นอนหลับ เครื่องนอน และที่อุดหูผ้าปิดตา เป็นต้น
“ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกำลังเติบโต โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสมองและผ่อนคลายความเครียดที่ใช้สารสกัดจากสมุนไพร ซึ่งผู้บริโภคให้ความสนใจและมั่นใจในความปลอดภัยจากการใช้สารสกัดจากธรรมชาติหรือสมุนไพร มากกว่าการใช้ยาหรือสารสกัดจากการสังเคราะห์ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว จึงเป็นโอกาสของไทยต่อตลาด Sleep Economy ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรไทย”