เปิดธุรกิจ "นอมินี" ในไทยอสังหาฯ-ท่องเที่ยว-รีสอร์ทพุ่งแรงปี 66

24 ก.ย. 2566 | 01:43 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ก.ย. 2566 | 01:52 น.

เปิดธุรกิจ "นอมินี" ในไทยอสังหาฯ-ท่องเที่ยว-รีสอร์ทพุ่งแรงปี 66 หลังกรมพัฒนาธุรกิจการค้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมาย 9 จังหวัดร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ลั่นหากพบคนไทยจงใจให้ความช่วยเหลือจะดำเนินคดีตามกฎหมาย

ธุรกิจนอมินี หรือการให้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าวเพื่อหลีกเลี่ยงการขออนุญาตประกอบธุรกิจตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ.2542 มีเพื่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยชาวต่างชาติมักใชห้คนไทยเป็นผู้ถือหุ้นในการทำธุรกิจ ซึ่งบางธุรกิจก็ใช้เป็นฐานสำคัญต่อการกระทำความผิดกฎหมายมากมายหลายรูปแบบ 

นายจิตรกร ว่องเขตกร รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงข้อมูลการตรวจสอบธุรกิจที่มีลักษณะนอมินีในปีงบประมาณ 2566 ว่า ตรวจสอบไปทั้งหมด 439 รายใน 3 กลุ่มธุรกิจเป้าหมาย ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท 

ในพื้นที่เป้าหมาย 9 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ชลบุรี ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และกรุงเทพฯ โดยได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ กรมการท่องเที่ยว กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบในเบื้องต้นพบนิติบุคคลที่อาจกระทำความผิดนอมินีในจังหวัดเชียงใหม่ และชลบุรี โดยพบถือหุ้นคนไทย 2 ราย มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ใน 269 บริษัท ซึ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 60 ราย ,ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง 6 ราย ,ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ท 4 ราย ,ธุรกิจบริการ 184 ราย และธุรกิจอื่น เช่น ค้าส่ง/ค้าปลีก ขนส่ง เกษตรกรรม 15 ราย โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างวิเคราะห์ข้อมูลมูลค่าการลงทุนและข้อมูลการประกอบธุรกิจเพิ่มเติม
 

อย่างไรก็ดี ยังพบว่ามีสำนักงานบัญชีและกฎหมายหลายแห่ง แนะนำหรือจ้างคนไทยเข้ามาถือหุ้นแทนคนต่างชาติ โดยให้คนไทยถือหุ้นสัดส่วน 51% และต่างชาติ 49% เพื่อทำให้บริษัทนั้นมีสถานะเป็นนิติบุคคลไทยและประกอบธุรกิจได้โดยไม่ต้องอนุญาต หากตรวจสอบแล้วพบว่า มีคนไทยจงใจให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ร่วมประกอบธุรกิจ หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ที่เข้าข่ายนอมินี จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ส่วนปีงบประมาณ 67 นั้น กรมฯอยู่ระหว่างการจัดทำแผนงานตรวจสอบประจำปี โดยจะเน้นธุรกิจตามบัญชีท้ายพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ส่วนพื้นที่เป้าหมายจะหารือร่วมกับหน่วยงานพันธมิตเพื่อให้การตรวจสอบมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้กรมฯยังได้ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อการประกอบธุรกิจ เช่น พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ฯลฯ

สำหรับในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา (2558-2565) กรมฯได้ดำเนินการตรวจสอบนิติบุคคลนอมินี ใน 3 รูปแบบ ประกอบด้วย มีหนังสือให้ผู้ถือหุ้นและนิติบุคคลชี้แจงข้อเท็จจริง จำนวน 4,087 ราย ,ลงพื้นที่ตรวจสอบ ณ สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของนิติบุคคล จำนวน1,902 ราย 

และพบพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายนอมินี จำนวน191ราย โดยนิติบุคคลที่เข้าข่ายกรมฯได้ส่งข้อมูลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนต่อ ซึ่งหากพบว่ามีพฤติกรรมที่เข้าข่ายกระกระทำความผิดอาญาตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ.2542 ก็จะส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย

โดยในช่วง8 ปีที่ผ่านมา ได้ดำเนินคดีไปแล้ว จำนวน 66 ราย บทลงโทษผู้ที่เป็นนอมินีจะมีความผิดทั้งนิติบุคคล ผู้ให้ความช่วยเหลือ และผู้ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ 100,000 – 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังมีโทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000 - 50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน

ด้านการดำเนินคดีกับนอมินีนั้นเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมากรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ส่งสำนวนคดีพิเศษกรณี นอมินีคนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ให้พนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา 3 ราย เป็นคนต่างด้าวและคนไทยที่ร่วมกันกระทำความผิดประกอบธุรกิจในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งคนต่างด้าวยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทยเข้ามาถือหุ้นแทนเพื่ออำพรางแหล่งที่มาของเงินทุนในการประกอบธุรกิจ

ขณะที่แนวทางการป้องปรามนอมินีนั้น กรมฯจะมีการตรวจสอบตั้งแต่การจดทะเบียน โดยก่อนจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล จะตรวจสอบเอกสารที่ธนาคารออกให้เพื่อรับรองหรือแสดงฐานะการเงินของผู้เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นคนไทยที่ลงทุนหรือถือหุ้นในนิติบุคคลร่วมกับคนต่างด้าว เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือว่าคนไทยรายนั้น มีฐานะทางการเงินที่ลงทุนด้วยตนเองได้

ส่วนเมื่อจดทะเบียนแล้ว กรมฯมีโครงการตรวจสอบประจำปี โดยคัดเลือกกลุ่มเสี่ยง เช่น ธุรกิจที่คนต่างด้าวถือหุ้นไม่ถึง 50% ธุรกิจมีคนต่างด้าวเป็นผู้มีอำนาจกระทำการ ให้สิทธิคนต่างด้าวมากกว่าคนไทยไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิการออกเสียงลงคะแนน สิทธิการรับเงินปันผล สิทธิการรับคืนทุนเมื่อเลิกกิจการ เป็นต้น รวมถึงนำเรื่องแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในทำธุรกิจ เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงินแก่คนต่างด้าว โดยมีเงื่อนไขที่ผิดปกติ มาประกอบพิจารณาด้วย

จากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า คนไทยเป็นนอมินีของคนต่างด้าวมีนิติบุคคลที่เข้าข่ายเป็นนอมินีเฉลี่ยปีละ 400-500 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ เข้ามาประกอบธุรกิจด้านการท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ ใช้คนไทยถือหุ้นแทน ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย