หลังจากที่นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงเกี่ยวกับกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย เนื่องจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือกฟภ. (PEA) มีการพิมพ์และส่งบิลค่าไฟของรอบเดือนกันยายน 2566 ออกไปบางส่วนแล้วประมาณ 8 ล้านฉบับ หรือประมาณ 30% ก่อนที่จะมีมติครม.ลดค่าไฟฟ้าออกมา
ดังนั้นถ้าใบแจ้งหนี้ที่ยังไม่ได้ออกให้ผู้ใช้ไฟฟ้า จะเป็นบิลตามมติ ครม. แต่กรณีวางใบแจ้งไปแล้ว แต่ผู้ใช้ไฟฟ้ายังไม่ได้ชำระเงินจะปรับปรุงบิล เวลาผู้ใช้ไฟฟ้าชำระเงินจะเป็นยอดใหม่ที่ลดแล้ว
ส่วนกรณีสุดท้าย ถ้าผู้ใช้ไฟฟ้าจ่ายเงินไปแล้ว ตามใบแจ้งหนี้ที่ยังไม่ได้ลดราคา ขอให้ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ต้องกังวล จะคืนให้โดยนำไปลดกับบิลค่าไฟเดือนถัดไป
ต่อกรณีดังกล่าว "ฐานเศรษฐกิจ" ได้มีการสอบถามไปยัง PEA เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า มีบิลที่ออกไปแล้ว 8 ล้านฉบับจริงของรอบเดือน ก.ย.66 เนื่องจากการเก็บค่าไฟของ PEA จะเริ่มตัดรอบบิลตั้งแต่วันที่ 15 ของทุกเดือน เพราะฉะนั้นจึงมีบ้านที่ได้รับไปบิลไปแล้ว
"การเก็บค่าไฟของ PEA จะเป็นรูปแบบของการคร่อมเดือน โดยที่กรณีนี้ก็จะเป็นการใช้ไฟของเดือนส.ค. ครึ่งเดือน และของเดือน ก.ย. ครึ่งเดือน แต่จะเป็นการเรียกเก็บค่าไฟในรอบบิลเดือนก.ย."
อย่างไรก็ดี ผู้ใช้ไฟไม่ต้องกังวลต่อกรณีการจ่ายเงินค่าไฟ แนะนำให้จ่ายค่าไฟตามจำนวนที่เรียกเก็บตามบิลไปก่อน หลังจากนั้นเมื่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศค่าไฟอัตราใหม่เรียบนร้อยแล้ว PEA จะหักคืนให้เป็นส่วนลดค่าไฟในรอบบิลเดือน ต.ค.
อย่างไรก็ตาม หากเป็นกรณีที่ผู้ใช้ไฟเลือกชำระในรูปแบบของการหักจากบัญชีธนาคาร ซึ่งของ PEA จะหักทุกวันที่ 6 ของเดือนจะไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด เพราะเมื่อ กกพ. มีมติออกมาชัดเจนแล้ว การหักชำระจากบัญชีธนาคารจะลดลงให้แบบอัตโนมัติ
ส่วนผู้ที่ยังไม่ถูกเรียกเก็บ หรือยังไม่ได้รับบิลในช่วงแรกอาจจะเป็นการเก็บโดยคิดตามราคาค่าไฟ 4.45 บาทต่อหน่วยไปก่อน เพราะเมื่อ กกพ. มีมติ PEA จะต้องดำเนินการปรับปรุงข้อมูลการเรียกเก็บประมาณ 2-3 วัน เพื่อให้เป็นการคิดรอบบิลด้วยค่าไฟอัตราใหม่ แต่ก็จะหักเป็นส่วนลดให้ในรอบบิลทันไปในกรณีที่บ้านผู้ใช้ไฟยังไม่ได้รับค่าไฟอัตราใหม่
"ปัจจุบัน PEA มีผู้ใช้ไฟอยู่ในระบบประมาณ 19 ล้านราย ทำให้ต้องมีการเก็บค่าไฟในรูปแบบการคร่อมเดือน และมีผู้ที่ได้รับบิลค่าไฟไปแล้วประมาณ 8 ล้านฉบับดังกล่าว"