ความพยายามที่รัฐบาลทุ่มสุดตัวเดินหน้า"นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท" ผ่าน Digital Wallet ล่าสุดมี นักวิชาการและคณาจารย์เศรษฐศาสตร์ ชื่อดังระดับแถวหน้าไทย 99 ราย จำนวนนี้มีอดีต 2 ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)คือ "ดร.วิรไท สันติประภพ และ ดร.ธาริษา วัฒนเกส" ได้ร่วมกันลงชื่อออกแถลงการณ์ โดยขอให้รัฐบาลทบทวน “นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท” ด้วยความรอบคอบอีกสักครั้ง โดยเห็นว่าเป็นนโยบายที่ ได้ไม่คุ้มเสีย
นายกฯยันไม่ทบทวน"แจกเงินดิจิทัล"
วานนี้ ( 6 ต.ค.66 ) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายวิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เสนอให้ทบทวนนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาลว่า เป็นอีกหนึ่งความเห็นที่ต้องรับฟัง และเราพร้อมที่จะรับฟังทุกความคิดเห็นและนำไปปรับปรุง
ส่วนประเด็นที่ว่ารัฐบาลจะทบทวนนโยบายนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่า "เป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐบาลจะทบทวนลดทอนการแจกเงินเหลือแค่เฉพาะกลุ่ม" นายก ฯ ยืนยันหนักแน่นว่า "เป็นไปไม่ได้"
99 รายชื่อนักเศรษฐศาสตร์ดังร่วมคัดค้าน
สำหรับรายชื่อ นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ และคณาจารย์ ระดับแนวหน้าของไทยที่ลงชื่อแถลงการณ์ร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก"นโยบายแจกเงิน Digital 10,000 บาท" ได้แก่
ยก 8 เหตุผล
ทั้งนี้ในแถลงการณ์ได้ยก 8 เหตุผล ดังต่อไปนี้
1) เศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัว โดยสำนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ ร้อยละ 2.8 ในปี 2566 และขยายตัวร้อยละ 3.5 ในปี 2567 จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ที่ผ่านมา มีการบริโภคส่วนบุคคลเป็นตัวจักรสำคัญ ในไตรมาส 2 ของปีนี้ การบริโภคขยายตัวถึงร้อยละ 7.3 นับว่า สูงสุดในรอบ 20 ปี สูงกว่า 2 เท่าของค่าเฉลี่ย 10 ปี คาดว่าปีนี้ทั้งปีจะขยายตัว ร้อยละ 6.1 และ 4.6 ในปีหน้า จึงไม่มีความจำเป็นต้องกระตุ้นการบริโภค ส่วนบุคคล แต่ควรเน้นการใช้จ่ายของภาครัฐ เพื่อสร้างศักยภาพในการลงทุนและการส่งออก
นอกจากนี้ การกระตุ้นการใช้จ่าย ภายในประเทศ อาจทำให้เกิดเงินเฟ้อสูงขึ้นมาอีก หลังจากเงินเฟ้อได้ลดลงจากร้อยละ 6.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.9 ในปีนี้ ท่ามกลางราคาพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะหลัง การกระตุ้นการบริโภคช่วงนี้ อาจทำให้เงินเฟ้อคาดการณ์ (inflationex pectation) สูงขึ้น นำไปสู่สภาวะขึ้นดอกเบี้ยในที่สุด
สร้างหนี้สาธารณะให้คนรุ่นต่อไป
2) เงินงบประมาณของรัฐมีจำกัด ย่อมมีค่าเสียโอกาส การใช้เงินจำนวนมากถึง 560,000 ล้านบาท อาจทำให้รัฐ เสียโอกาสการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในการสร้าง digital infrastructure หรือการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ล้วนสร้างศักยภาพในการเจริญเติบโตในระยะยาว แทนการใช้เงินเพื่อการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นๆ ซึ่งไม่สมเหตุสมผลต่อการสร้างภาระหนี้สาธารณะให้เป็นภาระแก่คนรุ่นต่อไป ค่าเสียโอกาสสำคัญคือการใช้เงินสร้างงานเพื่อสร้างรายได้ให้ประชาชน
3) การกระตุ้นเศรษฐกิจให้รายได้ ประชาชาติ (GDP) ขยายตัว โดยรัฐแจกเงิน 560,000 ล้านบาท เข้าไปในระบบ เป็นการคาดหวังเกินจริง เพราะปัจจุบันข้อมูลเชิงประจักษ์จากงานวิจัยทำให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ตัวทวีคูณทางการคลัง (fiscal multiplier) ที่เกิดจากการใช้จ่ายของรัฐในลักษณะเงินโอน หรือการแจกเงิน มีค่าต่ำกว่า 1 และต่ำกว่าตัวทวีคูณทางการคลัง สำหรับการใช้จ่ายโดยตรงและการลงทุนของภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบายหวังว่านโยบายนี้ จะกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเป็นสิ่งเลื่อนลอย
ไม่มีใครเสกเงินได้ ไม่มีเงินงอกจากต้นไม้ ไม่มีเงินที่ลอยมาจากฟ้า ไม่ว่า จะแอบซ่อนมาในรูปใดก็ตาม สุดท้ายประชาชนจะต้องจ่ายคืนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น หรือราคาสินค้าแพงขึ้น เพราะเงินเฟ้อ อันเนื่องจากการเพิ่มปริมาณเงิน
เพิ่มภาระเงินงบประมาณรัฐ
4) ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น เริ่มตั้งแต่ปี 2565 เพราะเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก การก่อหนี้จำนวนมาก ไม่ว่ารัฐบาลจะออกพันธบัตร หรือกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจ หรือ กู้สถาบันการเงิน ภาครัฐ ล้วนแต่จะทำให้รัฐบาลและคนทั้งประเทศต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หนี้สาธารณะของรัฐ ปัจจุบัน 10.1 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 61.6 ของ GDP ต้องมีภาระจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นในยามที่ต้องชำระคืน หรือกู้ใหม่ จึงมีผลต่อภาระเงินงบประมาณของรัฐในแต่ละปี โดยยังไม่นับเงินค่าดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการแจกเงินดิจิทัล คนละ 10,000 บาทนี้ด้วย
5) ในช่วงที่โลกเผชิญกับวิกฤต โรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอย รัฐบาลแทบทุกประเทศต่างจำเป็นต้องการขาดดุลการคลังและสร้างหนี้ จำนวนมาก เพื่อใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุข กระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลายประเทศได้แสดงเจตนารมณ์ที่ฉลาดรอบคอบ โดยลดการขาดดุลภาครัฐและหนี้สาธารณะลง (fiscal consolidation) เพื่อสร้าง "พื้นที่ว่างทางการคลัง" (fiscal space) เอาไว้รองรับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต
นโยบาย'ได้ไม่คุ้มเสีย'
นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาท ดูจะสวนทางกับสิ่งที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยมีอัตราส่วนรายรับจากภาษี เพียงร้อยละ 13.7 ของรายได้ประชาชาติ (GDP) ถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่นๆ มาก การทำ นโยบายการคลังโดยไม่รอบคอบระมัดระวัง และไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยังจะส่งผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือ (creditrating) ของประเทศ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้เงินของทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนไทยสูงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นด้วย
6) การแจกเงินคนละ 10,000 บาท ให้ทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี เป็นนโยบายที่สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างยิ่ง เศรษฐีและมหาเศรษฐี ที่อายุเกิน 16 ปี ล้วนได้รับเงินช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็น
มองการณ์ไกล "ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า"
7) เมื่อประเทศเข้าสู่สังคมสูงวัยเช่นประเทศไทย การเตรียมตัวทางด้านการคลังเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่จำนวนคน ในวัยทำงานลดลง แต่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาระการใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการและสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้บริหารประเทศที่มองการณ์ไกล จึงควรใช้งบประมาณอย่าง คุ้มค่า และรักษาวินัยและเสถียรภาพทางด้านการคลังอย่างเคร่งครัด ด้วยเหตุผลต่างๆ ข้างต้น
8) ระบบ blockchain ปกติ ต้อง ทำการตรวจสอบความถูกต้องของทุกธุรกรรม โดยผู้ใช้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ข้อดีคือทำให้ไม่สามารถฉ้อฉลข้อมูลได้ ขณะเดียวกันเป็นจุดตายของระบบด้วย เพราะแต่ละธุรกรรมจะต้องใช้เวลาเฉลี่ยในการตรวจสอบ 1-1.5 ชั่วโมงต่อธุรกรรม ยิ่งใช้เวลามากขึ้น เมื่อจำนวนธุรกรรมและผู้ใช้เพิ่มขึ้น เวลาที่ใช้ก็จะยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ ในการเอามาใช้กับระบบซื้อขายตามปกติ
รายชื่อนักเศรษฐศาสตร์คัดค้านเงินดิจิทัล ล่าสุดเพิ่มเป็น 133 คน (คลิก)