นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลได้หารือกับนายกิตติ ประทีปนาฏศิริ ผู้อำนวยการโครงการ Thai Silk Road to the World พร้อมกับคณะทูตและผู้แทนสถานกงสุล 13 ประเทศ เพื่อร่วมกันผลักดัน "ผ้าไหมไทย" ให้เป็นที่รู้จักในตลาดโลก ถือเป็นการใช้ Soft power ส่งเสริมเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ในปัจจุบัน “ผ้าไหมไทย” เริ่มเป็นที่รู้จักในตลาดโลก ทั้งในกลุ่มดีไซเนอร์ชั้นนำและประชาชนทั่วไป โดยรัฐบาลจะใช้ "การทูตผ้าไหมไทย" เป็นตัวเชื่อมการค้า การท่องเที่ยว วัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เอกอัครราชทูตหลายประเทศนิยมสวมใส่ชุดผ้าไหมไทยที่มีการออกแบบและถักทอที่เป็นเอกลักษณ์
โดยต้องการให้ช่างทอผ้าของประเทศต่าง ๆ กับไทยร่วมผสมผสานเส้นใยหรือวัตถุดิบระหว่างกัน เพื่อสร้างมิติใหม่ของผืนผ้า ซึ่งที่น่าสนใจ คือ เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 สมาคมส่งเสริมผ้าไหมและวัฒนธรรมไทย ได้ประสานการออกแบบและผลิตเสื้อผ้าไหมไทย
ด้วยผ้าจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จำนวน 2 ชุด เพื่อมอบให้แก่นายเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่ชื่นชอบชุดผ้าไหมไทยเป็นพิเศษ เพื่อโปรโมทผ้าไหมไทยทางหนึ่ง
ส่วนภายในประเทศนั้น นางนลินี ระบุว่า ได้ส่งเสริมการศึกษาด้านการออกแบบและตัดเย็บผ้าไหมไทยในวิทยาลัยอาชีวศึกษาหลายแห่ง และยังสนับสนุนอาชีพที่เกี่ยวกับไหมไทย เพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืนอีกด้วย
นางนลินี กล่าวว่า รัฐบาลต้องการพลิกฟื้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ขนานใหญ่จากการค้าการลงทุน และการส่งออก โดยข้อมูลปีที่ผ่านมาเราส่งออกไหม ทั้งรังไหม ไหมดิบ เศษไหม และด้ายไหมมากกว่า 224 ตัน มูลค่ากว่า 184 ล้านบาท ตลาดหลักคือญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน ฝรั่งเศส และตุรกี
ส่วนไหมผ้าผืนและเสื้อผ้าสำเร็จรูป มีมูลค่าประมาณ 138 ล้านบาท ตลาดสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง โดยเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผ้าไทยติดตลาดและสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศให้มากที่สุด
อย่างไรก็ตามในช่วงต้นปีหน้า ผู้อำนวยการโครงการ Thai Silk Road to the World ระบุว่า ได้เตรียมจัดงานมหกรรมผ้าไหมไทยสู่เส้นทางโลก การเดินแฟชั่นผ้าไหมระดับโลก การประกวดชุดผ้าไหมและลายผ้าไหมร่วมสมัยทั้งในประเทศและนานาชาติ
ทั้งนี้ทางคณะผู้จัดงานจะเข้าพบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อพูดคุยถึงแนวทางการสนับสนุนของรัฐบาล ร่วมกับสมาคมส่งเสริมผ้าไหมและวัฒนธรรมไทย คณะทูตต่างประเทศ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนอีกหลายแห่งต่อไป