ก่อนที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกาคลัง จะเดินทางไปเยือนสหรัฐฯ ทำการประชุม APEC ได้มีการแถลงถึงโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท โดยแหล่งเงินมาจากการออก พรบ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท และหากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ได้มีมาตรการระยะสั้น ทั้งการลดราคาค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ฯลฯ
ทั้งนี้ หลังจากรัฐบาลชุดนี้ทำงานมาเกือบ ๆ จะ 3 เดือน นอกจากดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงแรงสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของนักลงทุนแล้ว ยังมีตัวชี้วัดอื่น ๆ ที่ปรับตัวลดลง นั่นก็คือ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนตุลาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 88.4 ปรับตัวลดลง จาก 90.0 ในเดือนกันยายน ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึง ปัจจัยที่ส่งผลกับความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ได้แก่
ปัจจัยลบ
ปัจจัยบวก
ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐฯ
ขณะที่ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประทศไทย ระบุว่า ในวันที่ ระหว่างวันที่ 17-19 พฤศจิกายนนี้ จะมีการจัดสัมมนาหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศครั้งที่ 41 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ โดยจะมีผู้นำองค์กรภาครัฐ และเอกชนทั่วประเทศเข้าร่วม ประกอบด้วย คณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารจากกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจเข้าร่วมมากกว่า 1,500 คน
ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ตอบยืนยันที่จะเข้าร่วมงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ และรับมอบสมุดปกขาว (ข้อเสนอหอการค้าทั่วประเทศประจำปี) ในวันที่ 19 พ.ย. ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญที่จะมาร่วมงานในครั้งนี้มาก โดยวันดังกล่าวทราบว่านายกรัฐมนตรีเพิ่งเดินทางกลับถึงไทยจากการเดินทางไปเข้าร่วมประชุม APEC ที่สหรัฐอเมริกา
ที่ผ่านมาประเทศไทยพึ่งพาภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยว เป็นเครื่องยนต์หลักในการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโต แต่ยังไม่สามารถที่จะทำให้ GDP ของไทยขยายตัวได้เกินกว่า 5% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การนำเสนอสมุดปกขาวในครั้งนี้ จึงเป็นความมุ่งหวังที่หอการค้าไทยและเครือข่ายทั่วประเทศ จะได้นำเสนอแนวทางใหม่ ๆ ต่อรัฐบาลเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย ผ่านข้อเสนอภาคเอกชน 3 ส่วนสำคัญ ประกอบด้วย
ทั้งนี้ภาคเอกชนของไทย ทั้ง ส.อ.ท. และ สภาหอการค้าฯ ได้แสดงออกถึงความกังวลในการดำเนินธุรกิจ และไม่มีความมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ปีละ 5% ตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ สะท้อนผ่านข้อเรียกร้องของทั้ง 2 หน่วยงาน ซึ่งไม่ได้มีความกังวลเรื่องการกระตุ้นการจับจ่าย แต่น่าจะมีความกังวลชัดเจน ในเสถียรภาพระยะยาว
ดังนั้น การที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้ปีละ 5% ตามที่รัฐบาลหวังไว้นั้น การออกมาตรการแกปัญหาค่าครองชีพและการกระตุ้นการจับจ่ายระยะสั้นนั้น อาจไม่เพียงพอ โดยจีดีพีของไทยในปี 2565 ที่ผ่านมามีมูลค่า ราว 17.4 ล้านล้านบาท หากปีนี้เติบโตได้ 2.8% ตามคาดการณ์ เท่ากับว่าฐานจีดีพีไทยจะอยู่ที่ 17.887 ล้านล้านบาท
การเติบโตปีละ 5% นั่นหมายความว่า ในปี 2570 จีดีพีไทย จะมีมูลค่าสูงถึง 22.82 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้นราว 5 ล้านล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่มีปัจจัยบวกใด ที่นำพาไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ก็ไม่แปลกที่ภาคเอกชนจะแสดงความกังวลออกมา ดังนั้น คงต้องฝากความหวังไว้ที่นายกฯ ในการเดินทางไปเยือนหลายประเทศในช่วงนี้