วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ที่โรงแรมตราดซิตี้ อ.เมืองจ.ตราด นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกสู่นานาชาติ มีนายกัฬชัย เทพวรชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระตะบอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดโพธิสัตว์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง รองผู้ว่าราชการจังหวัดไพลิน และพาณิชย์กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก หัวหน้าส่วนราชการไทย และกัมพูชา ผู้นำองค์กรภาคประชาชน ของไทย และกัมพูชา แขกผู้มีเกียรติ รวม 100 คนและจากกัมพูชา 50 คนร่วม
นายนันทพงษ์ กล่าวถึงแนวนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ว่า การจัดกิจกรรมฯ ของคณะผู้จัดกิจกรรมฯ ทำให้ทราบว่าการจัดกิจกรรมสัมมนาฯ ในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก และ 5 จังหวัดของราชอาณาจักรกัมพูชา จึงถือเป็นโอกาสอันดียิ่งที่ภาครัฐและเอกชน ของราชอาณาจักรไทย และราชอาณาจักรกัมพูชา จะได้มีโอกาสได้รับองค์ความรู้ ข้อมูล และแนวคิด ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะส่งผลอันดีในการตัดสินใจในด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว
รวมถึงสื่อสารข้อมูลจากการสัมมนาฯ ในครั้งนี้สู่เครือข่ายและภาคีสมาชิกในแต่ละองค์กรที่แต่ละท่านสังกัด เพื่อสร้างสรรค์โอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ซึ่งจะส่งผลอันดีต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศในภาพรวม ทั้งนี้ รัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ จะได้นำข้อมูลและผลสำเร็จของการดำเนินกิจกรรมฯ ในวันนี้ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยเฉพาะคณะของภาคตะวันออก และกัมพูชา ที่จะได้เดินทางไปร่วมกิจกรรมสำรวจเส้นทางการค้าการลงทุนเชื่อมโยงภาคตะวันออก กับประเทศเพื่อนบ้าน
ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ภาครัฐมีนโยบายในการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ชายแดนติดประเทศเพื่อนบ้านมาอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการค้าเพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค เชื่อมโยงการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวชายแดน โดยคำนึงถึงศักยภาพเชิงพื้นที่เป็นสำคัญ ได้มีการกำหนดพื้นที่บางส่วนของ 10 จังหวัดชายแดนให้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ มุ่งส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนและผลักดันมูลค่าการค้าชายแดนให้เพิ่มสูงขึ้น
แต่จากการเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมากรวมทั้งการค้าชายแดนด้านกัมพูชา เนื่องจากมาตรการบริเวณชายแดนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในวงกว้าง
นายนันทพงษ์ กล่าวว่า ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลงในปี 2566 (มกราคม-กันยายน) ภาพรวมการค้าชายแดนไทยกัมพูชาลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่1.25 แสนล้านบาท ลดลง 16.39 % แบ่งเป็นมูลค่าการส่งออก 1 แสนล้านบาท ลดลง 17.61 % และมูลค่าการนำเข้า 2.4 หมื่นล้านบาท ลดลง 10.5 0%
โดยกันยายนเดือนเดียว มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ 1.3 หมี่นล้านบาท ลดลง22.7 % แบ่งเป็นมูลค่าการส่งออก 1.1 หมี่นล้านบาท ลดลง 26.6% และมูลค่าการนำเข้า 2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.65 %เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งตัวเลขการส่งออกลดลง 9 เดือนติดต่อกัน โดยมีสินค้าส่งออกที่สำคัญ คือ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบอื่นๆ เครื่องดื่มอื่นๆ และรถยนต์นั่ง
ทั้งนี้ จากสถานการณ์การค้าที่ซบเซา เกิดจากปัจจัยการขาดกำลังซื้อหลัก และความต้องการสินค้าในหลายประเภทลดลง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มและรถยนต์ ประกอบกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังไม่กลับมาอย่างเต็มที่ เพราะต้องรอผลจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่ ส่งผลให้แนวโน้มการค้าชายแดนไทยกัมพูชาในปี 2566 ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับ 9 เดือนแรกของปีนี้
กระทรวงพาณิชย์ได้ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการค้าชายแดนอย่างต่อเนื่องโดยกำหนดเป็นนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องผลักดันการค้าขายแดนข้ามแดน ให้มีความสะดวกและคล่องตัว
และในอีก 3 เดือนต่อไปนี้ แนวโน้มตัวเลขการส่งออกก็อาจจะไม่เป็นบวก แต่กระทรวงพาณิชย์พร้อมที่จะดำเนินการเต็มทีในเรื่องของการผลักดันยอดส่งออกให้มากขึ้น เราจะช่วยกันในการเพิ่มมูลค่าค้าขายให้มากยิ่งขึ้น ทั้งการร่วมมือกับฝั่งกัมพูชาและทางเอกชนของไทย
สำหรับจังหวัดตราดและจังหวัดสระแก้วนั้น เป็นเส้นทางในการขนส่งสินค้า และนำสินค้าไปยังกัมพูชาและมีโครงสร้างพื้นฐาน โดยจ.ตราดมีสะพานท่าเทียบเรือเอนกประสงค์คลองใหญ่ มีถนนสี่เลนสู่หาดเล็กที่เป็นชายแดนเชื่อมกับเกาะกง กัมพูชา และมีเขตเศรษฐกิจพิเศษ และสนามบิน ซึ่งมีศักยภาพมาก และสามารถส่งเสริมให้เกิดการค้าขายชายแดนได้มาก
ส่วนสระแก้วมีทางรถไฟถึงชานแดนมีถนนสายหลักสู่อรัญประเทศโดยตรง และยังมีด่านศุลกากรที่มีความพร้อม สิ่งเหล่านี้จะส่งผลดีต่อการค้าขายชายแดนทั้งนั้น และหากได้ร่วมพัฒนาและเสริมองค์ความรู้ให้กับผู้เข้าร่วมประชุมวันนี้จะเกิดภาพของความร่วมมือในการผลักดันและพัฒนาได้ระหว่าง 2 ประเทศอย่างดี และเป็นนโยบายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐบาลอยากเห็นให้เกิดขึ้นโดยเร็ว