สืบเนื่องจากราคาทองปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับหลังจากเกิดเหตุการณ์สงครามอิสราเอล กับ ฮามาส ราคาทองคำปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2566 ถือว่าเป็นสถิติสูงสุดด้วยราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 34,150 บาท ขายออกบาทละ 34,250 บาท และทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 33,533.92 บาท ขายออกบาทละ 34,750 บาท
ล่าสุดวันนี้ 4 ธันวาคม 2566 สมาคมค้าทองคำ รายงานราคาขายปลีกทองในประเทศ เปิดตลาดเมื่อเวลา 09.08 น. ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 34,200 บาท ขายออกบาทละ 34,300 บาท ส่วนทองรูปพรรณ รับซื้อเข้าบาทละ 33,579.40 บาท ขายออกบาทละ 34,800 บาท
ด้าน บจ.ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวขึ้นกว่า 68.6 ดอลลาร์จากสัปดาห์ก่อน ปัจจัยหนุนมาจากดอลลาร์อ่อนค่าต่อเนื่อง และบอนด์ยิลด์สหรัฐลดลง จากการคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยุติการขึ้นดอกเบี้ย และมีแนวโน้มว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยภายในกลางปีหน้า
เดือนธันวาคมป็นเดือนสุดท้ายของปีนี้ จากข้อมูลสถิติของราคาทองคำ เดือนธันวาคมส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก ทองคำจึงยังคงน่าสนใจ จากปัจจัยเดิม คือการคาดว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก โดยจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุดเฟดที่กำลังจะมาถึงวันที่ 12-13 ธ.ค. เช่นกัน ซึ่งปัจจัยนี้อาจเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำต่อไป
ส่วนในระยะสั้นอาจมีแรงเทขายออกมาเล็กน้อย หลังจากราคาทองคำปรับขึ้นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่เป็นการปรับลงระยะสั้น ให้หาจังหวะเข้าซื้อ เพราะคาดว่าในปีหน้าราคาทองคำอาจทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ภายในครึ่งปีแรกของปี 67
โดยการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด อาจหนุนราคาทองคำ ซึ่งคาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม จากที่ก่อนหน้านั้นคาดว่าเฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยระดับสูงที่ยาวนานมากกว่านี้ แต่ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงแบบค่อยเป็นค่อยไป (ซอฟต์แลนดิ้ง) และอัตราเงินเฟ้อสหรัฐก็ไม่ได้พุ่งไปสูงมาก การคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจึงเร็วขึ้น
อีกปัจจัยคือสงคราม ได้แก่ สงครามรัสเซีย-ยูเครน แม้ว่าระยะนี้ไม่มีผลกระทบต่อราคาทองคำ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อยู่ เพราะสงครามยังคงดำเนินต่อไป จึงอาจยังเป็นแรงกดดันที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก ส่วนสงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาสเช่นกัน ก็ยังคงดำเนินต่อไปที่อาจมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เช่นกัน แต่คาดว่าจะอยู่ในวงจำกัด แต่การสนับสนุนด้านงบประมาณที่ให้การช่วยเหลือในการทำสงครามในยูเครนและอิสราเอลจากสหรัฐ ซึ่งอาจกระทบต่องบประมาณสหรัฐ
ขณะนี้สหรัฐยังคงเผชิญกับการขาดดุลงบประมาณ และหนี้สาธารณะพุ่งชนเพดานหลายครั้ง ทำให้ฟิทซ์ เรตติ้งส์ ได้มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงสู่ระดับ AA+ จาก AAA ขณะที่มูดี้ส์ได้ประกาศการปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐสู่ "เชิงลบ" จาก "มีเสถียรภาพ"
โดยมูดี้ส์ คาดว่า การขาดดุลการคลังของสหรัฐจะยังคงอยู่ในระดับสูงมาก และจะทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงอย่างมาก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการลดสัดส่วนการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะเงินทุนสำรองลง และอาจมีผลต่อการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำในระยะยาว
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำคาดเป็นขาขึ้น ทั้งนี้ อาจมีแรงเทขายระยะสั้น หากราคาทองคำปรับขึ้นทะลุ All-time high ที่ 2,078 ดอลลาร์
ส่วนสัปดาห์นี้ ราคาทองคำมีแนวรับอยู่ที่ 2,050 ดอลลาร์ และ 2,040 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 2,150 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,160 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 34,200 บาท และ 34,000 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 34,600 บาท และ 34,700 บาท
ล่าสุดเมื่อเวลา 10.52 น. ราคาทองซื้อ-ขาย (ครั้งที่ 3) ราคาทองคำแท่งรับซื้อ 34,300 บาท ขายออกอยู่ที่ 34,400 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณรับซื้ออยู่ที่ 33,685.52 บาท ขายออกอยู่ที่ 34,900 บาท