ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยถึงแนวทางการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของไทย ว่า กำลังจะดำเนินการจัดตั้ง กองทุนเพื่อ Green Economy หรือ Green Investment (กองทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว) ภายในเดือน ก.พ. 67
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวมาจากการที่ได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและผู้แทนการค้าไทย โดยลักษณะการทำงานก็คือ การเป็นเซลล์แมน ช่วยการประชาสัมพันธ์ประเทศ ให้เห็นถึงความพร้อมที่จะเปิดรับการลงทุนมากขึ้นและขยายตลาดสินค้าส่งออก
โดยในปี 2567 นายกรัฐมนตรีมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งมองไปถึงแหล่งเงินทุนที่จะสนับสนุน ล่าสุดจึงได้หารือกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมตรี และได้เชิญทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มาร่วมปรึกษาถึงแนวทางการจัดตั้งกองทุนเพื่อ Green Economy ดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ก็ต้องมาดูกฏระเบียบข้อบังคับว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ โดยเรื่องนี้ทาง ก.ล.ต. ช่วยดูแลอยู่ ซึ่งตอนนี้ธุรกิจไม่ว่าจะเป็นรายเล็ก หรือรายกลางราย ต้องการเรื่องเงินทุน อาจจะเป็นธุรกิจที่ทำอยู่แล้ว เช่น ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวที่ต้องเน้นดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องลงทุนบางธุรกิจอาจจะติดข้อจำกัดการกู้เงินจากสถาบันการเงิน
กองทุนดังกล่าวนี้ก็จะเข้ามาเป็นแหล่งเงินทุนเสริมเพื่อให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ รวมไปถึงสินค้าเกษตรแปรรูป หรือพลังงานที่จะต้องปรับเป็นพลังงานสะอาด โดยร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้หารือกับกรมวิชาการและเชิญภาคเอกชนเข้ามาให้ความรู้ของการมีพลังงานสะอาดให้กับเกษตรกรประกอบด้วย
สำหรับแนวทางดังกล่าวจะสอดรับกับทิศทางของโลกที่ประเทศต่างๆดำเนินนโยบาย green economy โดยที่ผ่านมา คณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน 42 บริษัทได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี
และได้แลกเปลี่ยนมุมมองและข้อเสนอแนะร่วมกันถึงโครงการริเริ่มเศรษฐกิจสีเขียว และการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน ทั้งด้านพลังงานทดแทน เทคโนโลยีไฮโดรเจน ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน อย่างเช่น ภาคการเกษตรยังใช้การเผากันอยู่ ซึ่งไทยจะมีโอกาสที่จะหารือความร่วมมือเอาเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกามาช่วยลดการเผา หรือว่าการใช้วิธีอื่นเพื่อที่จะทำลายเอาไปใช้เป็นเรื่องพลังงานแทน เป็นต้น
ส่วนการลงทุนในประเทศไทยปีที่ผ่านมา ประเทศจีนมีการลงทุนเยอะที่สุด รองลงมาก็จะเป็นประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 3 แต่หากเป็นจำนวนโครงการจำนวนเยอะที่สุดเป็นประเทศญี่ปุ่น ขณะที่เรื่องของการค้านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็พยายามเร่งขับเคลื่อนให้ตัวเลขเกินดุลการค้าซึ่งตัวเลขการส่งออกล่าสุดเป็นบวกติดต่อมา 3 เดือนแล้ว โดยพบว่าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น 13% สินค้าในอุตสาหกรรมเพิ่ม 6% ซึ่งในช่วงกลางเดือน ธ.ค.นี้ จะมีการเดินทางไปต้อนรับขบวนรถไฟขนส่งสินค้าเกษตร โดยจะเดินทางจากไทยไปยังนครเฉิงตู ส่งต่อเข้าไป ยุโรป และรัสเซีย ตรงนี้จะเป็นโอกาสในการส่งสินค้าเกษตรในการขยายตลาดส่งออกของไทยได้เพิ่มขึ้น
ด้านการเปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศนั้น นายกฯได้รับฟังข้อคิดเห็นจากอุตสาหกรรมหอการค้าไทย รวมถึงหอการค้าสหรัฐอเมริกา และของญี่ปุ่น จึงได้ประเมินว่าจะต้องเปิดตลาดใหม่ในพื้นที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย และประเทศที่มีศักยภาพอย่างอินเดีย ยูเออี และเกาหลีใต้ โดยได้มอบนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการที่จะไปเปิดตลาดใหม่
“ตลาดที่ไทยมีการลงทุนก็จะมี จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น นี่คือตลาดหลัก ตลาดใหญ่ และก็ยังมีเกาหลีใต้ ที่เป็นตลาดเพิ่มเติม แต่หากเป็นยุโรปก็จะมีเยอรมนีกับ ฝรั่งเศส คือ 5 ตลาดเดิมที่ไทยพยายามรักษา และก็จะพยายามทำให้เติบโตมากขึ้น โดยนายกฯต้องการให้เปิดตลาดก็คือ แอฟริกาใต้ และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจะเป็นตลาดมาแรงที่จะพร้อมรองรับสินค้าประเทศต่างๆรวมถึงของไทย”
ขณะที่เรื่องการทำข้อตกลงไม่ว่าจะเป็นทวิภาคี พหุภาคี ซึ่งมีอยู่แล้ว 17 ฉบับกับ 18 ประเทศ นายกฯต้องการให้เร่งดูเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด ซึ่งนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นประธานในการทำงานเพราะข้อตกลงทางการค้าจะเป็นสิ่งที่จะอำนวยความสะดวกสิทธิต่าง ๆ ภาษี และเงื่อนไขของศุลกากรที่จะทำให้เกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้นสำหรับการส่งออก
"หน้าที่ของเซลล์ก็ต้องไปเสนอขาย อีกทีมหนึ่งก็ต้องไปคุยในเรื่องของข้อตกลงในการค้าระหว่างกัน สิ่งหนึ่งที่ไทยใช้ประโยชน์ได้มากก็คือ อาเซียน จากที่เห็นทั้งหมด 15 ประเทศที่สามารถที่จะมีตลาดที่ใหญ่มาก เป็นตลาดที่มี 15 ประเทศที่เข้าร่วม มีประชากร 200 ล้านคน มูลค่าเศรษฐกิจมหาศาล ตรงนี้ที่ทำให้ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาได้บ้าง"