ลุยต่อ “สุริยะ” เดินหน้าปลุก “แลนด์บริดจ์” รุกอุตสาหกรรม S-Curve แดนใต้

13 ม.ค. 2567 | 10:04 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ม.ค. 2567 | 10:11 น.

“สุริยะ” เดินหน้า “แลนด์บริดจ์” เต็มสูบ พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชน เร่งสางปัญหาปมชาวบ้านบางส่วนคัดค้าน ฟากโฆษกคมนาคม เชื่อพื้นที่ดันจุดยุทธศาสตร์เชิงเศรษฐกิจสำคัญ หวังยกระดับอุตสาหกรรมสู่ S-Curve หนุนพื้นที่ภาคใต้สู่ฮับโลจิสติกส์

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคม ยืนยันจะเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์เต็มที่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ถึงข้อกังวลและข้อสังเกตในด้านต่าง ๆ โดยเมื่อรับฟังความเห็นแล้ว หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะนำข้อมูลดังกล่าวไปพิจารณาถึงแนวทางการดำเนินการ 

 

ทั้งนี้หากมีปัญหาในจุดใดจะหาแนวทางแก้ไข เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความพึงพอใจ และเกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายในระดับสูงสุด ขณะเดียวกันกรณีที่มีผู้ออกมาวิจารณ์เชิงคัดค้านนั้น แต่จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่พบว่า 99% ต้องการให้โครงการแลนด์บริดจ์เกิดขึ้น เพื่อประโยชน์โดยรวมของพื้นที่ภาคใต้ และเพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทย   

 

นายกฤชนนท์  อัยยปัญญา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคมและโฆษกกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า โครงการแลนด์บริดจ์ นับเป็นอีกหนึ่งยุทธศาตร์สำคัญทางเศรษฐกิจโซนภาคใต้ของประเทศไทย ที่สามารถเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งประเทศไทยตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน  จึงมีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ และได้รับผลประโยชน์ด้านการขนส่งสินค้าของช่องแคบมะละกาที่ในปัจจุบันมีแนวโน้มการขนส่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง    

นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าในช่วงรัฐบาลยุคที่ผ่านมา โซนภาคใต้ของประเทศไทยยังไม่ได้มีการพัฒนาเชิงเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ของรัฐบาลยุคปัจจุบันนั้น จะเป็นการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดระนอง ชุมพร นครศรีธรรมราช   และสุราษฎร์ธานี ที่มีความเหมาะสมทั้งพื้นที่ภูมิศาสตร์ จำนวนประชากร และจำนวนแรงงาน และหากโครงการแลนด์บริดจ์เกิดขึ้น จะสามารถสร้าง S-Curve ของอุตสาหกรรมขึ้นมาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 

 

ขณะที่ความเป็นไปได้ของโครงการแลนด์บริดจ์นั้น ยังคงต้องรอข้อสรุปจากผลการศึกษาวิจัยให้แล้วเสร็จ จึงจะมีการส่งต่อไปยังภาครัฐเพื่อพิจารณาถึงแผนการลงทุนต่อไป โดยหากมีการลงทุนตามสมมุติฐาน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท เชื่อว่า ภายใน 25 ปี จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้หลายเท่า ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ก็จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งรวมถึงการจ้างงานภายในประเทศ และการสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศในระดับสูงอีกด้วย
 

นายกฤชนนท์  กล่าวต่อว่า กรณีที่มีนักวิชาการหลายฝ่ายออกมากล่าวถึงต้นทุนการเดินเรือ รวมถึงความแออัดของท่าเรือ โดยมองว่าขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ ซึ่งที่กล่าวมานั้น ยังไม่มีความชัดเจนแต่อย่างใด และไม่สามารถระบุได้แบบตรงไปตรงมา เป็นเพียงการคาดเดาโดยการเปรียบเทียบช่วง 3 ปีก่อน จึงจำเป็นต้องรอผลสรุป เพื่อนำมาประเมินต่อไป 

 

“หากต้นทุนสูงเกินไป ผู้ประกอบจะเป็นผู้พิจารณาเองว่าจะเข้ามาใช้บริการหรือไม่ ส่วนฝั่งผู้ลงทุนในโครงการฯ หากได้ข้อสรุปมาแล้วพบว่า ต้นทุนสูง เชื่อว่าก็คงไม่มีผู้ใดเข้ามาลงทุน แต่คาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์”