การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร นัดที่สอง ของรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 22-23 มกราคม 2567 นี้ ที่จังหวัดระนอง มีวาระสำคัญเกี่ยวกับการผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ โครงการ “แลนด์บริดจ์” ซึ่งมีแผนการลงทุนรวม 4 ระยะ มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท ให้เกิดขึ้นภายในรัฐบาลนี้
ที่ผ่านมาในการประชุมคณะรัฐมนตรี ปลายปี 2566 แผนการขับเคลื่อนเมกะโปรเจกต์ “แลนด์บริดจ์” ไปเป็นที่เรียบร้อย โดยสรุปรายละเอียดครอบคลุมทั้งเหตุผลความจำเป็นของการผลักดันให้เกิดขึ้นตามนโยบายรัฐบาล รูปแบบการพัฒนา ซึ่งกำหนดองค์ประกอบการลงทุนโครงการสำคัญของโครงการเอาไว้ ทั้งท่าเรือน้ำลึก 2 ฝั่งทะเล และโครงข่ายเชื่อมโยงระบบราง มอเตอร์เวย์ และการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์หลังท่า
พร้อมนำผลการศึกษาสำคัญเกี่ยวกับการประมาณการสินค้า ประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากดำเนินโครงการ “แลนด์บริดจ์” ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ด้านกฎหมาย เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา หรือการสูญเสียรายได้จากการลงุทนมูลค่านับล้านล้านบาทในครั้งนี้อย่างครบครัน
ก่อนที่รัฐบาลจะนำโครงการ “แลนด์บริดจ์”ไปตระเวนโรดโชว์ดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลก ผ่านการเดินทางไปเยือนประเทศต่าง ๆ ของนายกรัฐมนตรี และคณะอย่างน้อย 2-3 เวที เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และล่าสุดกับการเดินทางไปเยือนเวที World Economic Forum ประจำปี 2024 (WEF 2024) ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ 15-18 มกราคม 2567 นี้
การเดินทางลงพื้นที่ของรัฐบาล เพื่อประชุมครม.สัญจร จังหวัดระนอง เดือนมกราคม 2567 นี้ มีวาระเกี่ยวกับการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อหาทางผลักดันโครงการ “แลนด์บริดจ์” อย่างชัดเจน
ล่าสุด นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ ยืนยันว่า ในการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี ช่วงประชุมครม.สัญจร จะมีการหารือถึงโครงการแลนด์บริดจ์ พร้อมทั้งตรวจสอบความก้าวหน้าของโครงการด้วยว่าเป็นอย่างไร
ขณะที่การทำงานในพื้นที่ยังได้มอบหมายให้สส.ที่อยู่ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เช่น พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ช่วยกันลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นและสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่โครงการแลนด์บริดจ์ด้วย หลังจากพบว่ามีผู้คัดค้านโครงการ โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร
สำหรับขั้นตอนการผลักดัน โครงการ “แลนด์บริดจ์” ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ล่าสุดรัฐบาลกำลังเตรียมตัวจัดทำร่างพ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ในลักษณะเดียวกับโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กำกับดูแลโครงการ
จากนั้นจะมีการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยแต่ละหน่วยงานเจ้าของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะรับหน้าที่แยกไปจัดทำ EIA เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม จัดทำโดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ด้านการพัฒนาระบบราง จัดทำโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และด้านการพัฒนามอเตอร์เวย์ จัดทำโดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นต้น
สำหรับรูปแบบการพัฒนาโครงการ “แลนด์บริดจ์” ของรัฐบาล ภายใต้แผนงานกำหนดว่ามีความจำเป็นต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จะต้องมีการพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน นั่นคือ
1. ท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามัน ที่แหลมอ่าวอ่าง อำเภอราชกรูด จังหวัดระนอง ออกแบบให้สามารถรองรับสินค้าได้ 20 ล้าน TEUs ขนาดร่องน้ำลึก 21 เมตร
2. ท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทย ที่แหลมริ่ว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร รองรับสินค้าได้ 20 ล้าน TEUs ขนาดร่องน้ำลึก 17 เมตร
3. เส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง มีระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร ประกอบด้วย
4. การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์หลังท่าโดยการถมทะเลเพื่อพัฒนากิจการสนับสนุนท่าเรือ
ทั้งนี้รัฐบาล ประเมินว่า โครงการแลนด์บริดจ์ จะก่อให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้เพื่อรองรับอุตสาหกรรมขนาดเบา เช่น การประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์อนาคต อาหาร กิจกรรมด้านโลจิสติกส์ ศูนย์กระจายสินค้า เครื่องมือและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการขนถ่ายสินค้า
รวมทั้งยังส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้โดยการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ เช่น ก่อสร้างอาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์และโรงแรม รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมบริการต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น ร้านอาหาร โรงพยาบาล สถานบันเทิง และร้านค้าต่าง ๆ ระหว่างเส้นทางโครงการ
โดยตั้งเป้าหมายเป็นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) โดยให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนโครงการทั้งโครงการในลักษณะท่าเรือเดียวเชื่อม 2 ฝั่ง (One Port Two Sides) ทั้ง ท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามัน ท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทย เส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง และการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์หลังท่า
การลงทุนแลนด์บริดจ์ กำหนดประมาณการลงทุนเอาไว้ รวมด้วยกัน 4 เฟส วงเงินกว่า 1 ล้านล้านบาท แยกเป็นระยะ ๆ ดังนี้
ระยะที่ 1 ประมาณการลงทุนโครงการ 522,844 ล้านบาท ประกอบด้วย
ระยะที่ 2 ประมาณการลงทุนโครงการ 164,671ล้านบาท ประกอบด้วย
ระยะที่ 3 ประมาณการลงทุนโครงการ 228,512 ล้านบาท ประกอบด้วย