แต่ล่าสุดมีชื่อนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA และเป็นรองประธาน ส.อ.ท.ชุดปัจจุบัน ประกาศตัวแข่งลงชิงตำแหน่ง ทั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากนายสุพันธุ์ มงคลสุธี อดีตประธาน ส.อ.ท.คนก่อนหน้านายเกรียงไกรอย่างเปิดเผย ซึ่งหลายฝ่ายมองเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ เพราะที่ผ่านมาโดยธรรมเนียมปฏิบัติ ประธานส.อ.ท.จะได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่ง 2 วาระ รวม 4 ปี “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ถึงที่มาที่ไปในครั้งนี้
หนุน “สมโภชน์”หวังช่วย SMEs
นายสุพันธุ์ กล่าวนำว่า “ทุกคนรู้จักคุณสมโภชน์ดี การที่คุณสมโภชน์ลงสมัคร ผมถือว่าเป็นการเสียสละ และเขาก็มาจากเอสเอ็มอี และผมก็โตมาจากเอสเอ็มอี และทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ เขาจะสามารถมาช่วยคนตัวเล็กหรือมีนโยบายที่ออกมาช่วยคนตัวเล็กได้” พร้อมขยายความอีกว่า
สภาอุตสาหกรรมฯ เป็นสถาบันภาคเอกชนที่ใหญ่มาก ควรจะมีคนที่มีประสบการณ์ และประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจหรือเก่งเรื่องการบริหารจัดการองค์กรมาช่วย เพราะวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ตนอยู่ในวงการเทคโนโลยีทราบดี เศรษฐกิจก็เปลี่ยนแปลงเร็วมาก 9 ปีที่แล้ว ที่เป็นประธานสภาอุตสาหกรรมฯในสมัยแรก (ปี 2557-2559) ยังไม่มีรถอีวีให้รู้จัก ยังไม่มี ChatGPT แพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ก็ยังไม่บูม แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
“ดังนั้นต้องมีคนที่มีวิชั่นในการแก้เกมจากเทคโนโลยีที่เข้ามาดิสรัปธุรกิจ และใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ และแก้เกมเศรษฐกิจโลก ที่ต้องอาศัยผู้ที่มีประสบการณ์ที่มีวิชั่นและมองอนาคตของแต่ธุรกิจข้างหน้าได้ออก ตรงนี้สำคัญมาก รวมถึงต้องทำงานร่วมกับรัฐบาลได้ดี ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งคุณสมโภชน์เก่งทางด้านเทคโนโลยีพลังงาน และเก่งในอีกหลายด้าน มองว่าจะสามารถนำพาภาคอุตสาหกรรมของไทยที่มีคนตัวเล็กอยู่ 80-90% ให้เติบโตขึ้นได้”
นายสุพันธุ์ กล่าวถึง กรณีที่ผ่านมาสมาชิก ส.อ.ท.มักสนับสนุนให้ประธานสภาอุตสาหกรรมฯนั่ง 2 วาระ รวม 4 ปีว่า การที่บอกว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นประธานแล้วต้องอยู่ต่อ 2 สมัยนี่ก็ไม่ใช่ ต้องมีการแข่งขันกัน เพราะสมัยตนก็อยู่สมัยเดียว (วาระปี 2557-2559) นายเจน นำชัยศิริ (อดีตประธาน ส.อ.ท.) ก็อยู่สมัยเดียว ก่อนที่ตนจะมาเป็นต่ออีก 2 สมัยในเวลาต่อมา (วาระปี2561-2563 และวาระปี 2563-2565) จากไม่มีคู่แข่งขัน
“ขอชี้แจงเพื่อความเข้าใจ สมัยผมชนะการเลือกตั้งเป็นประธาน ส.อ.ท. สมัยแรก (ปี 2557-2559) ไม่มีความขัดแย้ง ผมชนะการเลือกตั้งจากคุณวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ (อดีตรองประธานส.อ.ท.ที่สมัครลงแข่งขัน) หลังผมชนะแล้วก็พยายามรวบรวมทุกคนที่ทำงานได้ดีให้กับ ส.อ.ท.ทั้งฝั่งตรงข้ามที่ไม่เลือกผมกลับมาทำงาน เพราะฉะนั้นสภาอุตสาหกรรมฯก็เรียบร้อยมาตลอด”
ส่วนที่มีปัญหากันคือสมัยนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล (อดีต ประธาน ส.อ.ท.วาระปี 2553-2555 และวาระปี 2555-2557) กับนายสันติ วิลาสศักดานนท์ (อดีตประธานส.อ.ท.ปี 2549-2553) ซึ่งปัญหาไม่ได้เกิดจากการแข่งขันเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานส.อ.ท. แต่มีปัญหาเกิดในช่วงของการดำรงตำแหน่งประธาน ส.อ.ท.ในวาระที่ 2 ของนายพยุงศักดิ์(ที่ทำงานไปแล้ว 1 ปี) จากมีปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็น 300 บาททั่วประเทศ (ในปี 2555) ซึ่งสมาชิกก็มีความรู้สึกว่านายพยุงศักดิ์ไม่ได้ช่วยเหลือในการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลเท่าที่ควร
“คุณสันติกับคนที่เห็นด้วยได้มาประท้วงและประชุมเพื่อจะปลดคุณพยุงศักดิ์ออกจากตำแหน่ง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ไม่ได้เกิดจากการเลือกตั้งแต่อย่างใด เพราะคุณพยุงศักดิ์ผ่านการเลือกตั้งมาด้วยความเรียบร้อย และก็ยังดำรงตำแหน่งครบ 2 วาระ และสมัยผมก็ได้รับการเลือกตั้งมาด้วยความเรียบร้อย อยากชี้แจงให้ทุกคนเข้าใจ ไม่ใช่ว่าเลือกตั้งทีไรสภาอุตสาหกรรมทะเลาะกันทุกที ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ซึ่งเรื่องนี้อยู่ที่ผู้นำที่ชนะการเลือกตั้ง ต้องทำให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีกันซึ่งผมก็ทำมาแล้ว”
นายสุพันธุ์ กล่าวถึงกรณีถูกมองจะนำการเมืองมาแทรกแซงในการสนับสนุนนายสมโภชน์ลงชิงตำแหน่งประธาน ส.อ.ท.ในครั้งนี้ว่า ครั้งล่าสุดที่ตนลงเล่นการเมืองระดับประเทศ เพราะเห็นว่าที่ผ่านมาเป็นภาคเอกชนที่ทำงานจนประสบความสำเร็จแล้ว รู้เรื่องเศรษฐกิจดี และรู้จักคนในภาคเอกชนมาก หากไปอยู่การเมืองก็จะช่วยภาคอุตสาหกรรมด้วยกันได้โดยเฉพาะเอสเอ็มอี และช่วยเศรษฐกิจไทยในภาพรวมให้ดีขึ้นได้ ซึ่งตนมีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมฯ และอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นไอดอล แต่วันนี้ตนได้ลาออกจากทุกตำแหน่งทางการเมืองแล้วหลังจากไม่ประสบความสำเร็จ
“คุณสมโภชน์จะชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธาน ส.อ.ท.คนที่ 17 หรือไม่ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณในการตัดสินใจของสมาชิก และกรรมการ อย่างไรก็ดีในฐานะอดีตประธาน ส.อ.ท.เรื่องที่มองว่าเป็นวาระเร่งด่วนคือการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ในเรื่องของนวัตกรรม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การผลักดันให้ใช้สินค้าเมด อิน ไทยแลนด์ ที่มาจากเอสเอ็มอี ที่วันนี้กำลังได้รับผลกระทบจากสินค้าออนไลน์ที่บุกมาถึงหน้าบ้าน และแย่งลูกค้าไป ในเมื่อเราเห็นปัญหาต้องช่วยกันช่วยกันระดมความคิด ทำเวิร์คช็อปร่วมกับรัฐบาลว่าจะแก้เกมอย่างไร” นายสุพันธุ์ กล่าว