เอกชนสงขลา หนุน "สถานบันเทิงครบวงจร" กระตุ้นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว

28 มี.ค. 2567 | 07:46 น.

เอกชนสงขลา ชี้สถานบันเทิงครบวงจร ถ้าเกิดขึ้นจริง จะส่งผลบวกต่อการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจ เตือนรัฐต้องเข้มมาตรการป้องกันอาชญากรรม -มอมเมาเยาวชน แนะเปิดนำร่องระยะแรกให้ต่างชาติก่อน

 จากกรณีร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)สถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ….ซึ่งรวมถึงจะมีกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย กำลังเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร (สส.)นั้น นายสมพล ชีววัฒนาพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา สะท้อนมุมมองต่อเรื่องดังกล่าวว่า การจะเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาอาชญากรรมสูงขึ้น ถ้าสามารถทำได้คิดว่าจะเป็นผลบวกด้านการท่องเที่ยว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีคนการพูดถึงประเด็นเรื่องของปัญหาอาชญากรรมที่จะเพิ่มขึ้น แต่สำหรับด้านการท่องเที่ยวมั่นใจว่าถ้าเปิดขึ้นแน่นอน  ผลบวกผลลบเราก็ต้องมาชั่งน้ำหนักดู และหากจะเปิดพื้นที่ ๆ จะเปิดคิดว่าไม่ควรจะอยู่ในเมือง ควรจะอยู่ออกไปข้างนอกเพื่อทำให้ความเจริญเกิดขึ้นในพื้นที่นั้น กำหนดเป็นโซนนิ่งไปเลย เพื่อจะเหมือนกับที่อเมริกา เช่น ที่ลาสเวกัส เป็นเมืองทะเลทราย คนก็จะขับจากแคลิฟอร์เนียไปหลายชั่วโมงในการที่จะไปที่ลาสเวกัสเป็นต้น  
 

นายสมพล กล่าวอีกว่า  อีกมุมหนึ่งถ้ากาสิโนถูกกฎหมาย มาตั้งอยู่ในกลางเมืองก็จะเป็นปัญหากับชุมชนได้ แทนจะรองรับนักท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นเห็นด้วยในมุมของการท่องเที่ยว แต่ต้องมีมาตรการดูแลที่จะเข้าไปเล่น ถ้าปล่อยให้คนไทยเข้าไปเล่นโดยไม่มีการควบคุม เชื่อว่าปัญหาอาชญากรรมจะเพิ่มขึ้น เหมือนกับคนที่ติดพนันออนไลน์แล้วไปปล้นไปจี้

นายสมพล ชีววัฒนาพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา

ส่วนการผลักดันกาสิโนในประเทศไทยที่มีมาตลอดแต่ไม่เกิดขึ้น เนื่องจากคนจะมองเรื่องศีลธรรม เรื่องพุทธศาสนาว่าจะเป็นการมอมเมาเยาวชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพียงแต่เราจะสร้างสมดุลอย่างไร แล้วเราจะควบคุมอย่างไร แต่การที่จะเอาสิ่งนี้ที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาบนดินจะทำให้การจัดเก็บภาษีหรือรายได้เข้าภาครัฐได้ชัดเจนขึ้น 

นายสิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับการที่จะผลักดันให้มีกาสิโนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ว่าในภาวะที่สังคมยังมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยคิดว่าเราน่าจะนำร่องในเรื่องของการท่องเที่ยวจริง ๆ คือเปิดกาสิโนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าก่อนในระยะแรก เพื่อศึกษาดูผตอบรับเป็นอย่างไร
 

"ตรงนี้จะได้ในมิติของการท่องเที่ยวจริงๆ  เพราะมันเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด แล้วก็ดูผลกระทบและก็ดูสิ่งที่เกิดขึ้น รายได้กับประเทศไทย เศรษฐกิจประเทศไทยเป็นอย่างไร ถ้าจะทำต่อในระยะที่สอง น่าจะศึกษาต่อว่าปัจจุบันคนไทยเดินทางออกไปเล่นกาสิโนต่างประเทศเท่าไหร่ ถ้าทำในประเทศไทยจะคุ้มหรือไม่  มีมาตรการป้องกันอย่างไร ที่จะไม่มอมเมาเยาวชน จะจำกัดคนหรืออะไรอย่างไร"
 

นายสิทธิพงษ์ กล่าวว่า โดยรวมแล้วส่วนตัวเห็นด้วยที่จะมีกาสิโนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งมีกาสิโนถูกต้องตามกฎหมาย สำหรับประเทศเพื่อนบ้านไม่ใช่กาสิโนอย่างเดียว สิ่งที่จะตามก็คือ “เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์”รอบข้างกาสิโน โดยมีกาสิโนตั้งอยู่ตรงกลาง

แต่สิ่งที่รายล้อมกาสิโนก็จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้สำหรับคนตั้งใจมาเที่ยวเอง แต่ไม่ได้เข้ากาสิโน แต่เข้ามาแล้วคนในรอบครัวอาจจะไปเที่ยวข้างนอก ตัวพ่อเข้ากาสิโน ประมาณนี้ ซึ่งจะได้ความหลากหลาย แต่จะเกิดขึ้นแน่ในแง่ของการท่องเที่ยว ถ้าวันนี้ดูตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่เก็นติ้งไฮแลนด์ ประเทศมาเลเซีย หรือสิงคโปร์ ที่เปิดกาสิโน ไม่มีกาสิโนเพียงอย่างเดียว มีเรื่องของสวนสนุก เรื่องเอ็นเตอร์เทน สนามกอล์ฟ  โรงแรม ร้านอาหารที่เข้ามาเกี่ยวเนื่องทั้งหมด

เพราะฉะนั้นตัวที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นวงจรอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้กันทุกอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมามีการพูดถึงการให้มีกาสิโนถูกกฎหมายแต่ก็ไม่เกิดขึ้น อาจจะเกิดจากสังคมไทยมองเป็นเรื่องมอมเมา แต่ต้องยอมรับบนความเป็นจริงว่ามีคนไทยไม่น้อยที่ไปเล่นกาสิโนในต่างประเทศหรือเล่นบ่อนผิดกฎหมายในประเทศไทย

นายสิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา

"จะด้วยเหตุอะไรต่าง ๆ แล้วแต่ ผมคิดว่าวันนี้ประเทศไทยมันถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรจะมีกาสิโนที่ถูกต้องตามกฎหมายเสียที เราสังเกตเพื่อนบ้านเราทุกประเทศ ไม่ว่าจะเมืองพุทธ เมืองอะไรก็แล้วแต่ มีกาสิโน หมดแล้ว ยกเว้นประเทศไทย ทำให้เพื่อนบ้านมีคนที่เป็นลูกค้าหลักก็คือคนไทย คนจากประเทศไทย"

นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา กล่าวว่า ถ้าในจังหวะนี้จะขับเคลื่อนเรื่องกาสิโน น่าจะเป็นจังหวะที่ดี เพราะว่าแนวคิดคนในการที่จะเข้ามาสนับสนุนเรื่องนี้เทียบกับอดีตเพิ่มขึ้น หรือมีแนวร่วมที่จะสนับสนุนแนวคิดมากยิ่งขึ้น และมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ ส่วนจะเดินหน้าเรื่องนี้ได้หรือไม่อยู่ที่ความจริงใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง