KEY
POINTS
ศุนย์วิจัยกสิกรไทย รายงาน แผนการเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) จากภาครัฐที่จะเริ่มข้ึนอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 วงเงิน 5 แสนล้านบาทนั้น แม้บทสรุป ของวงเงินที่ใช้จริงท้ายสุดจะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการที่ผ่านเกณฑ์ เงื่อนไขที่กำหนด แต่เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ.2501 ทำให้ต้องมีเงินหมุนเวียนในระบบเน็ตเวิร์คของวอลเล็ตก่อนการใช้งานจริง
“หมายความว่า ภาครัฐอาจต้องจัดสรรเงินทุน ให้พร้อมก่อนหน้านั้น ทำให้การระดมทุนคงเกิดขึ้นตั้งแต่ปลายไตรมาสท่ี 2 หรือไตรมาสท่ี 3 ของปีนี้”
ประเด็นท่ีอาจพิจาณาเพิ่มเกี่ยวกับเรื่องผลกระทบต่อสภาพคล่องในระบบการเงิน ไทย มีอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่
1.สภาพคล่องของสถาบันการเงินแม้จะอยู่ในระดับสูง แต่ส่วนใหญ่ถือครองอยู่ในรูปตราสารหนี้ภาครัฐ และพันธบัตร ธปท. ทำให้การพึ่งพาสถาบันการเงินในการถือครองตราสารหนี้ภาครัฐที่จะออกใหม่ภายใต้โครงการดิจิทัลวอลเล็ตต้องอาศัยการลดการถือครองตราสารหนี้ภาครัฐที่อยู่ในมือหรือระดมเงินฝาก หรือสภาพคล่องใหม่เพิ่มเติม ซึ่งจะผลักดันให้ต้นทุนการออกตราสารหนี้ หรือ การเสนอดอกเบี้ยเงินฝาก (อาทิ อัตราดอกเบี้ยสาหรับเงินฝากแคมเปญพิเศษ) ปรับตัวสูงขึ้น กลายเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้กับฝั่งผู้กู้ ทั้งเอกชนและ ภาครัฐ
ข้อมูล ณ สิ้นเดือน กุมภาพันธ์ 2567 ชี้ว่าสถาบันการเงิน ที่นำโดยธนาคาร พาณิชย์ (ที่มีส่วนแบ่งสภาพคล่องสูงสุดในระบบ) มีสินทรัพย์สภาพคล่องอยู่ที่ ประมาณ 5.56 ล้านล้านบาท โดย 37.0% หรือกว่า 2.07 ล้านล้านบาทอยู่ในรูปพันธบัตรรัฐบาล อันสะท้อนว่า ขีดความสามารถของธนาคารพาณิชย์ใน การดูดซับตราสารหนี้ภาครัฐที่จะออกเพิ่มนั้น อยู่ในกรอบที่จากัด คงจะต้อง อาศัยนักลงทุนสถาบันอื่นๆ ร่วมด้วย
2.ผลกระทบต่อการระดมทุนผ่านหุ้นกู้ของภาคเอกชนที่เป็นผลจากปริมาณอุปทานตราสารหนี้ภาครัฐที่เข้ามาเพิ่มขึ้น (Crowding Out Effect) ปัจจัย ดังกล่าวนอกจากจะทำให้ Benchmark Yield ของพันธบัตรรัฐบาลสูงข้ึน ซึ่งมีผลต่อเนื่องให้ฐานต้นทุนดอกเบี้ยอ้างอิงก่อนบวก Credit Spread ของหุ้นกู้ ขยับข้ึนแล้ว ก็ยังอาจมีผลต่อความต้องการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยต่อหุ้นกู้เอกชนด้วย
โดยเฉพาะในกรณีที่ภาครัฐจัดสรรการระดมทุนบางส่วนผ่านการเสนอขายพันธบัตรให้กับประชาชนรายย่อยโดยตรง อาทิ ในรูปพันธบัตรออมทรัพย์ (Savings Bonds) ท่ามกลางภาวะที่นักลงทุนรายย่อยที่มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth Individuals) ที่เป็นกาลังซื้อหลักในตลาดหุ้นกู้ ยังระมัดระวังการลงทุนในตราสารหนี้บางประเภท ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจ ท้ังในและนอกประเทศท่ีมีความไม่แน่นอน
ท้ังน้ี ในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปี 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จะมีตราสารหน้ีภาคเอกชนระยะยาวท่ีออกใหม่ ทั้งเพื่อชดเชยรุ่นที่ครบกำหนดและ ออกใหม่เพิ่มเติม อีกไม่น้อยกว่า 6.90 แสนล้านบาท จากที่ออกไปแล้ว ประมาณ 2.77 แสนล้านบาท (ตามฐานข้อมูลของ ThaiBMA) อันเป็นกลุ่มที่ ต้องวางแผนรับมือในกรณีที่ต้นทุนการระดมทุนปรับสูงข้ึน
3.จังหวะการระดมทุนของภาครัฐเผชิญความท้าทายมากขึ้นตามทิศทาง ผลตอบแทนตราสารหนี้ที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในต่างประเทศ ดังจะเห็นได้จาก US Treasury Yields ท่ีขยับสูงขึ้นต้ังแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2567 ตามแรงผลักดันจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด สัญญาณจากเฟด ซึ่งมีท่าทีไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึง ล่าสุด สถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองในตะวันออกกลางท่ีรุนแรงข้ึน
ประเด็นเหล่าน้ี มีส่วนทำให้ต้นทุนการระดมทุนในตลาดต่างๆ ของไทยปรับตัว สูงขึ้นเช่นกันในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น BIBOR อัตราผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุปานกลางถึงยาว ขณะท่ี ทิศทางความผันผวน ของอัตราผลตอบแทนในประเทศอาจยังคงภาพเช่นนี้ต่อไปในอีกหลายเดอืน ข้างหน้า ซึ่งย่อมจะกดดันต้นทุนการระดมทุนของทั้งภาครัฐและเอกชนไทย หลังจากน้ี
กล่าวโดยสรุป ประเด็นต่างๆ ข้างต้นคงทำให้ภาครัฐต้องพิจารณาจังหวะ วงเงิน ช่องทางและเครื่องมือการระดมทุนให้เหมาะสม เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อตลาด ใน ภาวะท่ีทิศทางอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศยังไม่ปรับลดลง ขณะท่ีงบดุลของภาคธุรกิจ และครัวเรือนไทยหลายส่วนยังไม่มีความแข็งแรงมากพอที่จะรองรับต้นทุนการเงินท่ี อาจได้รับผลกระทบจากภาวะความตึงตัวของสภาพคล่อง