หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการทางภาษีรับมือกับสินค้าราคาถูกจากจีนที่ทะลักเข้ามาในประเทศ โดยมีรายการสินค้ามูลค่ารวมกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.64 แสนล้านบาท) โดยมีรายการสินค้าดังนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานมูลค่าการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า หรือ BEV จากจีนไปประเทศ หรือภูมิภาคต่างๆ ในปี 2566 โดยมีมูลค่าดังนี้
โดยหากเทียบสัดส่วนมูลค่าการนำเข้ารถ BEV ของสหรัฐในปี 66 นั้น มีการนำเข้าจากยุโรปมากที่สุด 43% รองลงมาคือเกาหลีใต้ 24% ตามด้วยเม็กซิโก 20% ญี่ปุ่น 11% ส่วนการนำเข้ารถ BEV จากจีนไปสหรัฐมีสัดส่วนเพียงแค่ 2% เท่านั้น
มาตรการกีดกันทางภาษีครั้งนี้ ในกรณีของสหรัฐฯ แม้ผลกระทบโดยตรงจะไม่มาก เพราะ BEV จีนยังแทบไม่ได้ทำตลาดในสหรัฐฯ แต่จีนอาจหันไปใช้เม็กซิโกเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งไปแทน ซึ่งจะส่งผลกระทบกับสหรัฐฯในอนาคต
นอกจากนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังวิเคราะห์ถึงผลกระทบกับสหภาพยุโรปด้วย เนื่องจากจะได้รับผลกระทบทันทีเพราะเป็นตลาดส่งออกหลักของจีน ซึ่งปัจจุบันยังมีความเห็นที่ไม่ตรงกันในกลุ่มสมาชิก ทำให้การปรับภาษีขึ้นอาจไม่สูงเท่ากับสหรัฐกีดกันจีน
โดยในส่วนนี้ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง มองว่า หากจีนหันไปใช้เม็กซิโกเป็นฐานการผลิตแทน สหรัฐก็จะหันไปขึ้นภาษีกับทางเม็กซิโก หรือเป็นการคว่ำบาตรทางอ้อม (Secondary Sanction) กับประเทศที่ให้การสนับสนุนจีน ซึ่งก็จะทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นไปอีกระดับ โดยในส่วนของยุโรปเองก็เตรียมออกมาตรการแล้วเช่นกัน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปว่า หากคิดจากอัตราภาษีที่ยังไม่ได้ประกาศ เป็นเพียงการพูดถึงในสื่อ สหรัฐก็จะขึ้นภาษีรถ BEV จากจีนที่นำเข้าผ่านเม็กซิโก จาก 0% ขึ้นเป็น 200% ในขณะที่สหภาพยุโรป จะขึ้นภาษีนำเข้ารถ BEV จากจีน ที่เดิมทีเก็บเพียงแค่ 10% เป็น 25-30%