นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังไม่ได้พิจารณาออกมาตรการดูแลตลาดทุนเพราะการแกว่งตัวของหุ้นในระยะสั้น แต่เรามองกลไกที่จะสนับสนุน เช่น การดำเนินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund: LTF) และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
ขณะนี้กำลังศึกษารายละเอียดอยู่ โดยจะมีการทบทวนระยะเวลาการถือครองให้สั้นลงกว่า 10 ปี เพราะระยะยาวไม่ได้สร้างแรงจูงใจ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้สรุปว่าจะต้องถือครองอายุกี่ปี
“เราจะดูความเหมาะสม มีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ที่คุ้มค่าที่จะลงไปยังตลาดทุน ซึ่งขณะนี้ดัชนีหุ้นไทยก็กลับมาเป็นบวกแล้ว หลังจากหลุด 1,300 จุด เมื่อวันที่ผ่านมา โดยเป็นปัจจัยความเชื่อมั่นผลระยะสั้น ไม่ได้กระทบปัจจัยพื้นฐานใดๆ วันนี้เมื่อข่าวอดีตนายกรัฐมนตรีออกมา หุ้นก็กลับมาเป็นบวกเล็กน้อย”
อย่างไรก็ตาม ฐานะที่เป็นรัฐบาลจะต้องดูโครงสร้างระยะยาว และกลไกที่จะการเข้าไปเติมในตลาดทุน โดยกลไก 2 กองทุนดังกล่าว ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะเลือกใช้กองทุนใดกองทุนหนึ่ง ซึ่งทั้ง 2 กองทุนมีลักษณะเช่นเดียวกัน แต่ Thai ESG จะมีการโฟกัสความยั่งยืน ซึ่งตรงกับนโยบายของรัฐบาล
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีแนวคิดจะไปดูว่ากลุ่ม ESG ที่อยู่ในกองทุนนั้นครอบคลุมหรือยัง และจะวางกรอบอย่างไร เนื่องจากการดำเนินการ Thai ESG ครั้งที่ผ่านมาระยะเวลาค่อนข้างสั้น หลายคนเข้าไม่ทัน เราจึงต้องการวางกลไกให้เหมาะสม ส่วนการหารือร่วมกับสภาตลาดทุนไทยนั้น ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลา
“เราอยากขยายกรอบครอบคลุมกลุ่ม ESG ให้กว้างขึ้น เพราะครั้งที่แล้วยังมีข้อจำกัด ส่วน LTF นั้น เป็นกองทุนที่ไม่ได้เจาะจงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ก็ต้องดูระดับนโยบายว่าจะใช้กองทุนใด ทั้งนี้ ยังไม่สามารถระบุกรอบเวลาได้ แต่จะดำเนินการให้เร็วที่สุด”