นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า 5 เดือนแรกของปี 2567 ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 317 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 85 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 232 ราย เม็ดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 71,702 ล้านบาท มีการจ้างงานคนไทย 1,212 คน
โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่
1. ญี่ปุ่น จำนวน 84 ราย คิดเป็น 26% ของเงินลงทุนรวม 40,214 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับ
- ธุรกิจโฆษณา
- ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการผลิตคอมพาวด์ โพลิเมอร์
- ธุรกิจบริการเคลือบผิว
- ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (ชุดเกียร์สำหรับยานพาหนะและชิ้นส่วนชุดเกียร์ เป็นต้น
2. สิงคโปร์ จำนวน 51 ราย คิดเป็น 16% มีเงินลงทุน 5,189 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจ เช่น
- ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การให้บริการติดตั้งเครื่องจักร
- ธุรกิจโฆษณา โดยการให้ใช้พื้นที่บนเว็บไซต์
- ธุรกิจบริการด้านการออกแบบและพัฒนาโปรแกรมซอฟต์แวร์ (Software)
- ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (เครื่องใช้ไฟฟ้า/ ชิ้นส่วนยานพาหนะ/ แม่พิมพ์)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 50 ราย คิดเป็น 16% มีเงินลงทุน 1,196 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจ เช่น
- ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า เช่น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องมือแพทย์ เครื่องจักร เป็นต้น
- ธุรกิจโฆษณา
- ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและแนะนำในการประกอบธุรกิจ เช่น การบริหารจัดการธุรกิจ, การบริหารทรัพยากรบุคคล
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (พวงมาลัยรถยนต์/ DRUM BRAKE ASSEMBLY)
4. จีน จำนวน 38 ราย คิดเป็น 12% มีเงินลงทุน 5,485 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจประเภท
- ธุรกิจบริการที่ให้แก่บริษัทในเครือ หรือบริษัทในกลุ่ม (บริการให้เช่าพื้นที่อาคารโรงงาน)
- ธุรกิจการจัดหาจัดซื้อ วัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ
- ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือให้บริการเช่น ระบบวิเคราะห์ข้อมูล
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า โฟมสำหรับยานพาหนะ/ โลหะหล่อขึ้นรูป เป็นต้น
- ธุรกิจบริการให้ใช้ช่วงสิทธิแฟรนไชส์ (Franchising) เพื่อประกอบธุรกิจการขายอาหารและเครื่องดื่ม
5. ฮ่องกง จำนวน 28 ราย คิดเป็น 9% มีเงินลงทุน 12,048 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจ
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า (เครื่องฉีดขึ้นรูป/ ฟิล์มไวแสง)
- ธุรกิจบริการระบบซอฟต์แวร์ฐาน (SOFTWARE PLATFORM) ซึ่งเป็นการให้บริการแพลตฟอร์มกลาง ในการจัดการและเชื่อมโยงข้อมูลผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว
- ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม ก่อสร้าง ติดตั้ง แผงโซล่าเซลล์และอุปกรณ์ต่างๆ เกี่ยวกับระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (แม่พิมพ์/ เลนส์ เลนส์สัมผัส (Contact Lens) กรอบแว่นตา แว่นตา/ ชิ้นส่วนสำหรับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์)
- ธุรกิจบริการ CLOUD SERVICES โดยเป็นการให้บริการในด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (INFRASTRUCTURE-AS-A-SERVICE)
นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้ามาประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะ ในอุตสาหกรรมที่กล่าวมาข้างต้น มีส่วนช่วยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและทักษะการทำงานขั้นสูงให้กับแรงงานไทย ซึ่งเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านจากประเทศที่เข้ามาลงทุน
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยในปี 2567 เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 43 ราย คิดเป็น 16% (เดือน มีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 26,310 ล้านบาท คิดเป็น 58% ในขณะที่มีการจ้างงานคนไทยลดลง 1,787 ราย คิดเป็น 60%
สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนชาวต่างชาติในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 มีชาวต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 99 ราย คิดเป็น 31% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 51 ราย หรือเพิ่มขึ้น 106% และมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 18,224 ล้านบาท คิดเป็น 25% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 8,782 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 93%
ชาวต่างชาติที่ลงทุนพื้นที่ EEC ประกอบด้วย
- ญี่ปุ่น 31 ราย ลงทุน 3,523 ล้านบาท
- จีน 19 ราย ลงทุน 1,803 ล้านบาท
- ฮ่องกง 11 ราย ลงทุน 5,005 ล้านบาท
- ประเทศอื่นๆ 38 ราย ลงทุน 7,893 ล้านบาท
โดยมีธุรกิจที่ลงทุนเช่น
- ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยเป็นการออกแบบทางวิศวกรรมสำหรับระบบต่างๆ ภายในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบทำน้ำเย็น และระบบปรับอากาศ เป็นต้น
- ธุรกิจบริการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทเข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัย
- ธุรกิจบริการให้ใช้แอปพลิเคชันสำหรับเชื่อมต่อกับระบบบริการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและเดบิตของผู้ให้บริการทางการเงิน
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (ชุดเกียร์สำหรับยานพาหนะและชิ้นส่วนชุดเกียร์ เป็นต้น
- ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือให้บริการ เช่น ระบบควบคุมการผลิตในโรงงาน และระบบจัดการคลังสินค้า เป็นต้น