5 เดือนแรกต่างชาติลงทุนไทย ทะลุ 7.1 หมื่นล้าน ปักหมุด EEC เพิ่มขึ้น 106%

24 มิ.ย. 2567 | 02:53 น.
อัปเดตล่าสุด :24 มิ.ย. 2567 | 03:10 น.

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยตัวเลขชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยช่วง 5 เดือนแรกของปี 67 เงินลงทุนสะพัดกว่า 71,702 ล้านบาท ญี่ปุ่นยังคงครองแชมป์ ด้านการลงทุนในเขต EEC เพิ่มขึ้น 106% มีมูลค่าการลงทุนรวม 18,224 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า 5 เดือนแรกของปี 2567 ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 317 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 85 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 232 ราย เม็ดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 71,702 ล้านบาท มีการจ้างงานคนไทย 1,212 คน 

โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 

 1. ญี่ปุ่น จำนวน 84 ราย คิดเป็น 26% ของเงินลงทุนรวม 40,214 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับ  

  • ธุรกิจโฆษณา
  • ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการผลิตคอมพาวด์ โพลิเมอร์
  • ธุรกิจบริการเคลือบผิว 
  • ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ 
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (ชุดเกียร์สำหรับยานพาหนะและชิ้นส่วนชุดเกียร์ เป็นต้น

2. สิงคโปร์ จำนวน 51 ราย คิดเป็น 16% มีเงินลงทุน 5,189 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจ เช่น  

  • ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การให้บริการติดตั้งเครื่องจักร 
  • ธุรกิจโฆษณา โดยการให้ใช้พื้นที่บนเว็บไซต์
  • ธุรกิจบริการด้านการออกแบบและพัฒนาโปรแกรมซอฟต์แวร์ (Software) 
  • ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (เครื่องใช้ไฟฟ้า/ ชิ้นส่วนยานพาหนะ/ แม่พิมพ์)

3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 50 ราย คิดเป็น 16% มีเงินลงทุน 1,196 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจ เช่น  

  • ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม
  • ธุรกิจค้าปลีกสินค้า เช่น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องมือแพทย์ เครื่องจักร เป็นต้น
  • ธุรกิจโฆษณา
  • ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและแนะนำในการประกอบธุรกิจ เช่น การบริหารจัดการธุรกิจ, การบริหารทรัพยากรบุคคล 
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (พวงมาลัยรถยนต์/ DRUM BRAKE ASSEMBLY)

4. จีน จำนวน 38 ราย คิดเป็น 12% มีเงินลงทุน 5,485 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจประเภท 

  •   ธุรกิจบริการที่ให้แก่บริษัทในเครือ หรือบริษัทในกลุ่ม (บริการให้เช่าพื้นที่อาคารโรงงาน)
  • ธุรกิจการจัดหาจัดซื้อ วัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ 
  • ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือให้บริการเช่น ระบบวิเคราะห์ข้อมูล
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า โฟมสำหรับยานพาหนะ/ โลหะหล่อขึ้นรูป เป็นต้น
  • ธุรกิจบริการให้ใช้ช่วงสิทธิแฟรนไชส์ (Franchising) เพื่อประกอบธุรกิจการขายอาหารและเครื่องดื่ม

 5. ฮ่องกง จำนวน 28 ราย คิดเป็น 9% มีเงินลงทุน 12,048 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจ

  • ธุรกิจค้าปลีกสินค้า (เครื่องฉีดขึ้นรูป/ ฟิล์มไวแสง)
  • ธุรกิจบริการระบบซอฟต์แวร์ฐาน (SOFTWARE PLATFORM) ซึ่งเป็นการให้บริการแพลตฟอร์มกลาง ในการจัดการและเชื่อมโยงข้อมูลผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว
  • ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม ก่อสร้าง ติดตั้ง แผงโซล่าเซลล์และอุปกรณ์ต่างๆ เกี่ยวกับระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (แม่พิมพ์/ เลนส์ เลนส์สัมผัส (Contact Lens) กรอบแว่นตา แว่นตา/ ชิ้นส่วนสำหรับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์)
  • ธุรกิจบริการ CLOUD SERVICES โดยเป็นการให้บริการในด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (INFRASTRUCTURE-AS-A-SERVICE)

นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้ามาประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะ ในอุตสาหกรรมที่กล่าวมาข้างต้น มีส่วนช่วยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและทักษะการทำงานขั้นสูงให้กับแรงงานไทย ซึ่งเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านจากประเทศที่เข้ามาลงทุน

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยในปี 2567 เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 43 ราย คิดเป็น 16% (เดือน มีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 26,310 ล้านบาท คิดเป็น 58% ในขณะที่มีการจ้างงานคนไทยลดลง 1,787 ราย คิดเป็น 60% 

สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนชาวต่างชาติในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 มีชาวต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 99 ราย คิดเป็น 31% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 51 ราย หรือเพิ่มขึ้น 106% และมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 18,224 ล้านบาท คิดเป็น 25% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 8,782 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 93%

ชาวต่างชาติที่ลงทุนพื้นที่ EEC ประกอบด้วย 

  1. ญี่ปุ่น 31 ราย ลงทุน 3,523 ล้านบาท
  2. จีน 19 ราย ลงทุน 1,803 ล้านบาท 
  3. ฮ่องกง 11 ราย ลงทุน 5,005 ล้านบาท 
  4. ประเทศอื่นๆ 38 ราย ลงทุน 7,893 ล้านบาท 

โดยมีธุรกิจที่ลงทุนเช่น

  •  ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยเป็นการออกแบบทางวิศวกรรมสำหรับระบบต่างๆ ภายในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบทำน้ำเย็น และระบบปรับอากาศ เป็นต้น
  • ธุรกิจบริการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทเข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัย
  • ธุรกิจบริการให้ใช้แอปพลิเคชันสำหรับเชื่อมต่อกับระบบบริการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและเดบิตของผู้ให้บริการทางการเงิน
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (ชุดเกียร์สำหรับยานพาหนะและชิ้นส่วนชุดเกียร์ เป็นต้น
  • ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือให้บริการ เช่น ระบบควบคุมการผลิตในโรงงาน และระบบจัดการคลังสินค้า เป็นต้น