4 เดือนต่างชาติลงทุนไทย 5.4 หมื่นล. ปักฐาน EEC มากสุด ญี่ปุ่นนำ สิงคโปร์ตาม

18 พ.ค. 2567 | 07:22 น.
อัปเดตล่าสุด :18 พ.ค. 2567 | 10:20 น.

กรมพัฒน์เผย 4 เดือนแรกต่างชาติขนเงินลงทุนไทยตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯกว่า 5.4 หมื่นล้าน ญี่ปุ่นอันดับ 1 ตามด้วยสิงคโปร์ ลงทุนพื้นที่อีอีซีมากสุดกว่า 1.4 หมื่นล้าน ดิจิทัล-ชิ้นส่วนรถยนต์มาแรง

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ช่วง 4 เดือนแรกงปี 2567 (ม.ค.-เม.ย.) ได้อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 253 ราย

โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวจำนวน 69 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) จำนวน 184 ราย เกิดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 54,958 ล้านบาท ส่งผลดีต่อการจ้างงานคนไทยถึง 1,019 คน สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่

 1.ญี่ปุ่น 63 ราย คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 34,055 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ  ธุรกิจโฆษณา,ธุรกิจบริการตรวจสอบคุณภาพชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ธุรกิจบริการชุบเคลือบผิวด้วยโลหะ, ธุรกิจบริการพัฒนาดิจิทัลคอนเทนต์ตามความต้องการของลูกค้า เช่น แอนิเมชัน เป็นต้น, ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (ชิ้นส่วนอลูมิเนียมทุบขึ้นรูป/ ชิ้นส่วนรถยนต์/ ชิ้นส่วนโลหะ)

 2.สิงคโปร์ 42 ราย คิดเป็นร้อยละ 17 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 4,499 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 

-ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การให้คำปรึกษาแนะนำในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การให้บริการติดตั้งเครื่องจักร และการแก้ไขปัญหา เพื่อลดการขัดข้องของเครื่องจักร เป็นต้น

-ธุรกิจบริการติดตั้ง ซ่อมแซม บำรุงรักษาเครื่องชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์

-ธุรกิจบริการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง ประเภทไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง

-ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์

- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (แม่พิมพ์และอุปกรณ์จับยึด / ชิ้นส่วนยานพาหนะ / ผลิตภัณฑ์จากพลาสติกชีวภาพ)

4 เดือนต่างชาติลงทุนไทย 5.4 หมื่นล. ปักฐาน EEC มากสุด  ญี่ปุ่นนำ สิงคโปร์ตาม

3.สหรัฐอเมริกา 41 ราย คิดเป็นร้อยละ 16 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 1,148 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ

- ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม

- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า (อาหารและเครื่องดื่มสำเร็จรูป / เครื่องจักรที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม / เครื่องมือช่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์)

- ธุรกิจโฆษณา

- ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและแนะนำในการประกอบธุรกิจในด้านต่างๆ เช่น การวางแผนทางธุรกิจ การให้คำปรึกษาทางการเงิน และการให้คำปรึกษาทางการตลาด เป็นต้น

- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (พวงมาลัยรถยนต์ / DRUM BRAKE ASSEMBLY)

4.จีน  29 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 4,031 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ

- ธุรกิจบริการที่ให้แก่บริษัทในเครือ หรือบริษัทในกลุ่ม (บริการให้เช่าพื้นที่อาคารโรงงาน)

- ธุรกิจบริการตัดโลหะ (Coil Center)

- ธุรกิจบริการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล เช่น การรับฝาก การซื้อขาย และให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (ชุดพัดลมระบายความร้อนสำหรับรถยนต์/ หลอดไฟแบบ LED/ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม)

- ธุรกิจบริการให้ใช้ช่วงสิทธิแฟรนไชส์ (Franchising) เพื่อประกอบธุรกิจการขายอาหารและเครื่องดื่ม

 5.ฮ่องกง  17 ราย คิดเป็นร้อยละ 7 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,650 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ    

- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า (เครื่องฉีดขึ้นรูป/ ฟิล์มไวแสง)

- ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย

- ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม ก่อสร้าง ติดตั้ง ทดสอบการใช้งานระบบ การซ่อมแซม บำรุงรักษาแผงโซลาร์เซลล์และอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์

- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (อะไหล่และส่วนประกอบรถยนต์ / ชิ้นส่วนประกอบที่ทำจากอลูมิเนียม / แม่พิมพ์)

- ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น เพื่อค้าส่งในประเทศ

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่า การอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยในปี 2567 เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 36 ราย คิดเป็นร้อยละ 17 (ม.ค.-เม.ย. 2567 อนุญาต 253 ราย / ม.ค.-เม.ย. 2566 อนุญาต 217 ราย) และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 16,256 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42   (ม.ค.-เม.ย. 2567 ลงทุน 54,958 ล้านบาท / ม.ค.-เม.ย.2566 ลงทุน 38,702 ล้านบาท)

ขณะที่มีการจ้างงานคนไทยลดลง 1,400 ราย คิดเป็นร้อยละ 58 (ม.ค.-เม.ย. 2567 จ้างงาน 1,019 คน / ม.ค.-เม.ย. 2566 จ้างงาน 2,419 คน) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน

“อุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยข้างต้น ได้สร้างประโยชน์ให้เกิดกับประเทศไทย โดยจะเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย สร้างทักษะการทำงานขั้นสูงให้กับแรงงานไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้โปรแกรมในการออกแบบระบบโซลาร์ขั้นสูง องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีติดตามยานพาหนะ องค์ความรู้เกี่ยวกับการบำรุงรักษาสถานีอัดประจุไฟฟ้า    องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเครื่องจักรและอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร เป็นต้น”

อธิบดีฯ กล่าวอีกว่า สำหรับการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ( EEC) ของนักลงทุนต่างชาติ ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 77 ราย คิดเป็น 30% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนจำนวน 34 ราย หรือเพิ่มขึ้น 79% (ม.ค.-เม.ย. 2567 ลงทุน 77 ราย / ม.ค.-เม.ย. 2566 ลงทุน 43 ราย) และมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 14,033 ล้านบาท คิดเป็น 26% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 6,512 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 87% (ม.ค.-เม.ย. 2567 เงินลงทุน 14,033 ล้านบาท/ ม.ค.-เม.ย. 2566 เงินลงทุน 7,521 ล้านบาท

ในจำนวนนี้เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 20 ราย เงินลงทุน 2,002 ล้านบาท จีน 14 ราย เงินลงทุน 980 ล้านบาท สิงคโปร์ 9 ราย เงินลงทุน 1,018 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ 34 ราย เงินลงทุน 10,033 ล้านบาท  ธุรกิจที่ลงทุนในพื้นที่ EEC อาทิ ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค, ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาชิ้นส่วนยานพาหนะไฟฟ้า,ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า,ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่ายและ /หรือให้บริการ เช่น ซอฟต์แวร์การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล เป็นต้น