เปิด 5 แผนรับมือผลเลือกตั้งสหรัฐฯ หวั่น “ ทรัมป์” ชนะอาจกระทบเศรษฐกิจโลก

14 ก.ค. 2567 | 02:32 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ก.ย. 2567 | 04:27 น.

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) แนะจับตาผลเลือกตั้งสหรัฐฯคนใหม่ หวั่น โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งอาจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจกิจโลก - ไทย แนะผู้ประกอบการเตรียม 5 แผนรับมือ

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่เป็นเรื่องที่น่าจับตา เพราะจะบ่งชี้ถึงทิศทางภูมิทัศน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกเพราะสหรัฐฯเป็นประเทศมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร และเทคโนโลยี ในด้านการเมืองสหรัฐฯ นับเป็นผู้นำประเทศโลกเสรีที่กุมทิศทางการเมืองโลกและด้านเศรษฐกิจ สหรัฐฯ มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มูลค่า 27.36 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.95 ของ GDPโลก และมีรายได้ต่อหัวสูงถึง 81,695.2 ดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ สหรัฐฯยังเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 และเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย (รองจากจีน) รวมถึงยังเป็นประเทศที่มียอดคงค้างเงินลงทุนโดยตรงในไทยเป็นอันดับ 5 (รองจาก ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และเนเธอร์แลนด์) การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ส่งผลต่อเศรษฐกิจการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ในช่วง 7 - 8 ปีผ่านมา ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากการใช้ “นโยบายสหรัฐอเมริกาต้องมาก่อน” (American First Policy) ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นชาตินิยม การคงไว้ซึ่งการเป็นมหาอำนาจ การปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และการสร้างความมั่นคงของชาติ และการเริ่มทำสงครามการค้ากับจีน ที่ทำให้เศรษฐกิจการค้าโลกและไทยชะลอตัว หดตัวอย่างชัดเจน

และในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโจไบเดน ที่มีการทำสงครามเทคโนโลยีกับจีน รวมถึงการออกพระราชบัญญัติชิปและวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ และพระราชบัญญัติการลดเงินเฟ้อ เพื่อจัดการปัญหาเงินเฟ้อและประเด็นภาวะโลกร้อนสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังมีความพยายามที่จะย้ายฐานการผลิตกลับสู่ประเทศตนเอง และย้ายฐานการผลิตเข้าใกล้ตลาด รวมถึงย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศพันธมิตรในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจโลก

ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากกระแสการเคลื่อนย้ายทางการค้าและการลงทุนของโลกที่เร่งตัวขึ้นทิศทางการค้าหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ คาดว่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างไบเดนจากพรรคเดโมเครต กับทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน

นายพูนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากนายโจไบเดน ชนะการเลือกตั้ง การดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศจะเป็นไปในทิศทางเดิม แต่หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะ อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ 2 มิติซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง ได้แก่ ด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยจะลดการให้ความช่วยเหลือประเทศที่อยู่ในพื้นที่ขัดแย้ง โดยเฉพาะการยกเลิกหรือลดการสนับสนุนยูเครน ซึ่งจะส่งผลให้สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน สิ้นสุดในไม่ช้า แต่ในขณะเดียวกัน การลดบทบาทของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนความมั่นคงในเวทีโลกโดยเฉพาะ NATO อาจทำให้มีความขัดแย้งในพื้นที่อื่น ๆ ปะทุได้ง่ายขึ้น ซึ่งวันนี้แทบปฏิเสธไม่ได้ว่าความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้านเศรษฐกิจ การใช้มาตรการปกป้องทางการค้าของสหรัฐฯ จะเข้มข้นขึ้นรวมถึงสงครามการค้ากับจีนจะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยจะมีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศร้อยละ 10 และจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนร้อยละ 60 ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไบเดน ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากจีนเฉพาะสินค้าที่ถูกพิจารณาว่ามีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ อาทิ

  • รถยนต์ไฟฟ้า
  • แบตเตอรี่
  • เซมิคอนดักเตอร์
  • โซลาร์เซลล์
  • เหล็กและอะลูมิเนียม
  • แร่ธาตุ

การกลับมาของทรัมป์ที่น่าจะมาพร้อมกับนโยบาย American First อาจทำให้เกิดความเสี่ยงทาง เศรษฐกิจและการค้าโลกจะมีความยากลำบากมากขึ้น ด้วยการตั้งกำแพงภาษี สกัดสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมและสร้างงานในประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศต่าง ๆ ที่เคยได้รับประโยชน์จากการลงทุนของสหรัฐฯ และบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เผชิญการถอนการลงทุนออก โดยเฉพาะบริษัทในสาขาอุตสาหกรรมที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญที่ปัจจุบันยังตั้งอยู่ในจีน และบริษัทที่ได้ขยาย/ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมาที่ภูมิภาคอาเซียน อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย ก่อนหน้านี้ อาจมีบางส่วนย้ายกลับสหรัฐฯ หรือประเทศในภูมิภาคอเมริกาเหนือ เพื่อลดความเสี่ยงทางการค้าแผนนโยบายที่ต้องเตรียมรับมือผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ

จากโพลล์ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ความนิยมของผู้ลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากทั้งสองพรรค ค่อนข้างมีคะแนนที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ดี หากทรัมป์ชนะอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการค้าของสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อการค้าโลก ดังนั้นไทยจึงควรเตรียมพร้อมวางแผนตั้งรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้คือ

1. ติดตามสถานการณ์การเลือกตั้งและ นโยบายทางเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายการต่างประเทศ ที่ผู้แทนจากทั้งสองพรรคประกาศในช่วงหาเสียงอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายหรือมาตรการที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้า การลงทุน และห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมไทย เพื่อปรับตัว/รับมือกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น

2. ดำเนินมาตรการปกป้องทางการค้าอย่างเหมาะสม กรณีเกิดการใช้มาตรการปกป้องทางการค้าที่เข้มข้นขึ้นจากประเทศผู้นำเข้าอันดับ 1 ของโลกอย่างสหรัฐฯ อาจทำให้ปริมาณสินค้าบางส่วนไหลเข้าสู่ตลาดโลก รวมถึงไทย นอกจากนี้ อาจส่งผลให้หลายประเทศ

โดยเฉพาะชาติตะวันตกใช้มาตรการปกป้องทางการค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งไทยอาจจำเป็นต้องดำเนินมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมสำคัญภายในประเทศในกรณีที่มีสินค้าราคาถูกไหลทะลักเข้ามาในประเทศอย่างเหมาะสม

3. ส่งเสริมผู้ประกอบการทั้งด้านการลงทุน การผลิต และการค้า รวมถึงเร่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเร่งดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ

ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา เร่งพัฒนาแรงงานฝีมือ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ปรับปรุงและพัฒนากฎ ระเบียบและข้อบังคับในการทำธุรกิจ รวมถึงอำนวยความสะดวกทางการค้า ตลอดจนเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีเพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้าและการลงทุน

4.กระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับพันธมิตรทางการค้า เพื่อรักษาสมดุลระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มการแยกส่วนทางเศรษฐกิจ โดยการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งระดับรัฐบาล สถาบันวิจัย และองค์กรธุรกิจ

ในการต่อยอดองค์ความรู้และพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี และการผลิตของไทย รวมถึงส่งเสริมการสร้างพันธมิตรทางการค้าที่แข็งแกร่งเพื่อขยายการค้าและการลงทุน

5. มุ่งเน้นดูแลเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ อาทิ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราเงินเฟ้อ และการจ้างงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม