นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การปรับขึ้นค่าไฟฟ้ารวมถึงราคาน้ำมัน ถือเป็นต้นทุนที่ส่งผลกระทบทางธุรกิจ โดยประเมินเฉพาะค่าไฟที่รัฐบาลประกาศจะปรับขึ้นแน่นอน
หากปรับขึ้นประมาณ 0.40-0.50 บาทต่อหน่วย จะส่งผลให้ราคาขึ้นไปถึง 4.60-4.70 บาทต่อหน่วย ทำให้เฉพาะค่าไฟฟ้าที่ปรับขึ้น ถือเป็นการเพิ่มต้นทุนของธุรกิจกว่า 10%
โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบเป็นอุตสาหกรรมหนักในภาคการผลิตที่ใช้ไฟฟ้าเข้มข้น และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน ถูกกระทบแบบลดหลั่นกันมา เพราะพลังงานถือเป็นต้นทุนใหญ่
สวนทางประเทศที่เป็นคู่แข่งของไทยในภูมิภาคเดียวกัน โดยเฉพาะเวียดนาม ที่ใช้ค่าไฟราคา 2.70 บาท หรืออินโดนีเซีย ค่าไฟ 3.30 บาท
"หากจะขึ้นราคาไปสูงถึง 4.70 บาท จากเดิมตอนนี้ที่อยู่ 4.18 บาท ก็แย่อยู่แล้วในด้านการแข่งขันระหว่างประเทศ ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนกังวล เนื่องจากขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยจะลดลงมากกว่าเดิม กระทบการส่งออกให้แข่งขันยากขึ้น สินค้าในประเทศต้นทุนแพงขึ้น ท่ามกลางสินค้านำเข้าที่ถูกมากกว่า ถล่มสินค้าในประเทศหนักกว่าเดิม ปัญหาที่เคยคิดว่าจะได้รับการแก้ไข กลับทำให้สถานการณ์ทรุดหนักกว่าเดิม"
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า หากต้นทุนปรับขึ้นสูงกว่าเดิมจนผู้ประกอบการแบกรับไม่ไหว ท้ายสุดแล้วก็ต้องส่งผ่านไปกับการขึ้นราคาสินค้า
ทั้งนี้ ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ระบุว่า ที่ประชุม กกพ. มีมติรับทราบภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจริงประจำรอบเดือน ม.ค. - เม.ย. 2567 และเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าเอฟทีสำหรับงวดเดือน ก.ย - ธ.ค. 2567
และให้สำนักงาน กกพ. นำค่าเอฟทีประมาณการและแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. ไปรับฟังความคิดเห็นในกรณีต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 12 – 26 กรกฎาคม 2567 ก่อนที่จะมีการสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป ดังนี้