ถือเป็นการสร้างความคึกคักให้กับวงการตลาดหุ้นอีกครั้ง เมื่อบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของไทย ประกาศควบรวมกิจการ กับบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH) เพื่อปรับโครงสร้างของบริษัทที่เกี่ยวข้องให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำเนินการในการบริหารจัดการและการลงทุนในอนาคต รวมทั้งเพื่อลดความซ้ำซ้อนของโครงสร้างการถือหุ้นและต่อยอดโอกาสเติบโตในธุรกิจพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจดิจิทัล
นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ชี้ให้เห็นว่า การควบรวมดังกล่าว จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองบริษัทและผู้ถือหุ้นทุกฝ่าย รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการเป็นผู้นำในการขยายงานด้านธุรกิจพลังงานและธุรกิจโทรคมนาคม ทางด้านธุรกิจพลังงานบริษัทได้มุ่งมั่นที่จะขยายไปสู่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ส่วนในด้านธุรกิจโทรคมนาคมจะเน้นต่อยอดธุรกิจไปในธุรกิจดิจิทัลมากขึ้น
การควบรวมครั้งนี้ จึงถือเป็นการต่อยอดหรือเป็นการขยายอาณาจักรของกัลฟ์ฯให้ใหญ่ขึ้น ตามโครงสร้างธุรกิจที่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจพลังงาน ที่ประกอบด้วยธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ทั้งไอพีพีและเอสพีพี ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลมทั้งบนบกและในทะเล โซลาร์ฟาร์ม และโซลาร์ฟาร์มบวกแบตเตอรี่ โซลาร์รูฟท็อป โรงไฟฟ้าขยะ ชีวมวล และพลังงานน้ำ ธุรกิจก๊าซ เช่น คลังก๊าซแอลเอ็นจี และการนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจี 2. ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค เช่น ท่าเรือมาบตาพุด ท่าเรือแหลมฉบัง มอเตอร์เวย์ และ 3.ธุรกิจดิจิทัล เช่น Data Center และ Other Investments เช่น Virtual Banking เป็นต้น
หากมองให้ลึกลงไปในช่วง 5 ปีนี้ (2567-2571) กัลฟ์ ได้ประกาศแผนที่จะใช้เงินลงทุนอีกราว 9 หมื่นล้านบาท ในการขยายธุรกิจให้เติบโต โดยแบ่งเป็นการลงทุนในส่วนของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติ สัดส่วน 16 % ลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน 79 % โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค 3 % และธุรกิจดิจิทัลและการลงทุน 2 % โดยยังเน้นการลงทุนในไทยเป็นหลัก จากเป้าหมายการลงทุนรวมใน 7 ประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อสิ้นปี 2571 กัลฟ์ ได้ตั้งเป้าหมายจะมีกำลังผลิตติดตั้งอยู่ที่ 18,608 เมกะวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติจากไอพีพีและเอสพีพีสัดส่วน 80 % หรือราว 14,886 เมกะวัตต์ และเป็นสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียน 20 % หรือราว 3,722 เมกะวัตต์ และเมื่อถึงปื 2576 กัลฟ์ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้งอยู่ที่ 23,356 เมกะวัตต์ เป็นสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียน 36 % หรือกว่า 8,400 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติทั้งไอพีพีและเอสพีพี 64 % หรือกว่า 14,900 เมกะวัตต์
เมื่อมาพิจารณาในกำลังการผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นแล้วในปี 2571 กัลฟ์ จะมีกำลังผลิตอยู่ที่ 11,221 เมกะวัตต์ เป็นในส่วนของพลังงานหมุนเวียน 28 % หรือราว 3,142 เมกะวัตต์ และจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติไอพีพีและเอสพีพี 72 % หรือราว 8,079 เมกะวัตต์ และเมื่อถึงปี 2576 กัลฟ์จะมีกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 12,750 เมกะวัตต์ เป็นในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนสัดส่วน 37 % หรือราว 4,717 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติทั้งไอพีพีและเอสพีพี 63 % หรือราว 8,032 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ จากข้อมูลเดือนเมษายน 2567 กัลฟ์มีกำลังผลิตติดตั้งอยู่ที่ราว 13,856 เมกะวัตต์ เป็นพลังงานหมุนเวียนในสัดส่วนราว 7 % หรือประมาณ 970 เมกะวัตต์ และ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติทั้งไอพีพีและเอสพีพี 93 % หรือราว 12,886 เมกะวัตต์ และหากพิจารณาตามสัดส่วนการถือหุ้นกัลฟ์จะมีกำลังผลิตติดตั้งราว 7,555 เมกะวัตต์ เป็นพลังงานหมุนเวียนสัดส่วนราว 8 % หรือ 604 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติทั้งไอพีพีและเอสพีพี 92 % หรือประมาณ 6,950 เมกะวัตต์
โดยเมื่อถึงสิ้นปื 2567 กัลฟ์จะมีกำลังผลิตติดตั้งอยู่ที่ 15,120 เมกะวัตต์ เป็นสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียน 11 % หรือประมาณ 1,663 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติทั้งไอพีพีและเอสพีพี 89 % หรือราว 13,457 เมกะวัตต์ โดยจะมีกำลังการผลิตใหม่ที่ทอยอยเข้ามาในปีนี้ราว 2,700 เมกะวัตต์ จากปี 2566 ที่มีกำลังผลตราว 12,420 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ หากคิดตามสัดส่วนการถือหุ้น ในปี 2567 กัลฟ์ จะมีกำลังผลิตติดตั้งยู่ที่ 8,601 เมกะวัคต์ เป็นพลังงานหมุนเวียนสัดส่วน 13 % หรือราว 1,118 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติทั้งไอพีพีและเอสพีพี 87 % หรือประมาณ 7,483 เมกะวัตต์
สำหรับการลงทุนในปี 2567 กัลฟ์ จะใช้เงินลงทุนราว 2 หมื่นล้านบาท เป็นการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนสัดส่วนราว 55 % โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติ 36 % โดยจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มอีก ส่วนโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคจะมีสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ 3 % และธุรกิจดิจิทัลและการลงทุน 6 %
โดยเงินส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ลงทุนพลังงานหมุนเวียนนั้น มีโครงการสำคัญ อาทิ การพัฒนาโครงการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นดินหรือโซลาร์ฟาร์ม และโซลาร์ฟาร์มบวกแบตเตอรี่ ที่กัลฟ์ชนะการประมูลเสนอขายไฟฟ้าของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี พ.ศ.2565-2573 จำนวน 25 โครงการ กำลังผลิตติดตั้งรวม 2,538 เมกะวัตต์ ซึ่งปีนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าในปีนี้ราว 532 เมกัวัตต์ รวมถึงการลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปอีกราว 70 เมกะวัตต์ รวมถึงการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ขนาด 50 เมกะวัตต์ เพื่อใช้ในโครงการ Data Center เฟสแรก 25 เมกะวัตต์ เป็นต้น
เมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมา กัลฟ์ได้ใช้เงินในการซื้อหุ้นในโรงไฟฟ้าขยะขนาดกำลังผลิต 119 เมกะวัตต์ ไปแล้วร่วม 1 หมื่นล้านบาท
ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ในฐานะที่เป็นผู้นำเข้าก๊าซแลเอ็นจีจากต่างประเทศ ปัจจุบันได้ทยอยนำก๊าซแอลเอ็นจีเข้ามาแล้วและป้อนให้กับโรงไฟฟ้าหินกอง หน่วยที่ 1 กำลังผลิตตามสัญญา 700 เมกะวัตต์ แล้วราว 1.9 แสนตัน และจะทยอยนำเข้าจนครบ 4.5 แสนตันภาายในสิ้นปีนี้
สำหรับผลประกอบการไตรมาณแรกปีนี้ กัลฟ์ มีรายได้รวม (Total Revenue) อยู่ที่ 32,280 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จาก 26,994 ล้านบาทในไตรมาส 1/2566 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) อยู่ที่ 4,152 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จาก 3,668 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีสินทรัพย์รวม ณ 31 มีนาคม 2567 อยู่ที่ 472,868 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9 % หรือ 13,354 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 324,563 ล้านบาท
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4011 วันที่ 21 – 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2567