ศึกชิงผู้นำสหรัฐ ฉุดค้าโลกซบ “ทรัมป์” ขึ้นภาษีจีน ทุบส่งออก ลงทุน เที่ยวไทย

24 ก.ค. 2567 | 00:00 น.

นักวิชาการ-เอกชนจับตา “ทรัมป์-แฮร์ริส” ชิงดำเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 ชี้ไม่ว่าใครเข้าวิน สงครามการค้า ส่อแรงขึ้น ผวาทุบเศรษฐกิจโลก หลังทรัมป์ประกาศพร้อมเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่ม 60% ดันค่าครองชีพ เงินเฟ้อ ดอกเบี้ยโลกพุ่งรอบใหม่ทุบส่งออก ลงทุน เที่ยวไทยฟุบตาม

เกมเปลี่ยน หลังโจ ไบเดนประกาศถอนตัวชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 จากผลพวงอายุมาก(81 ปี) มีปัญหาสุขภาพ และผลโพลคะแนนนิยมตามหลังโดนัลด์ ทรัมป์ที่มีคะแนนนิยมพุ่งสูงขึ้น หลังถูกลอบยิงระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง รวมถึงยังมีแรงกดดันจากในพรรค จากนายทุนของพรรค และผู้อาวุโสของพรรคไม่ให้ลงชิงตำแหน่ง เพราะหากยังดื้อแพ่งมีโอกาสแพ้สูง ก่อนไบเดนจะประกาศถอนตัวในที่สุด และเปลี่ยนม้ากลางศึก ประกาศสนับสนุนนางคามาลา แฮร์ริส วัย 59 ปี รองประธานาธิบดีเป็นแคนดิเดตที่จะลงชิงชัยแข่งกับโดนัลด์ ทรัมป์ แทน ซึ่งจากโพลต่าง ๆ ระบุแฮร์ริสมีคะแนนสูสีกับโดนัลด์ ทรัมป์ มากกว่าไบเดน

อย่างไรก็ตามต้องรอผลการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตว่าใครจะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นตัวแทนของพรรคลงชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากในพรรคยังผู้เหมาะสมอีกหลายรายที่มีโอกาสถูกนำเสนอชื่อ

“แฮร์ริส” ตัวเลือกอันดับ 1

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า นางคามาลา แฮร์ริส ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพรรคเดโมแครตที่จะลงชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบสหรัฐในขณะนี้ที่พอจะสู้กับโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันได้ เพราะเป็นรองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน และทำงานใกล้ชิดกับไบเดน สามารถนำความต่อเนื่องของนโยบายไปหาเสียงได้ อย่างไรก็ดีการออกมาประกาศสนับสนุนนางแฮร์ริสเพื่อเป็นตัวแทนของพรรค ส่งผลให้นางแฮร์ริสได้รับการสนับสนุนจากพรรคและนายทุนพรรคทันที แม้คะแนนนิยมของนางแฮร์ริสยังตามหลังทรัมป์อยู่ก็ตาม

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

“ผลงานของแฮร์ริส ในตำแหน่งรองประธานาธิบดีในรอบเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา มีจุดแข็งคือ พูดเก่ง ชัดเจน ฉะฉาน ตรงนี้ดีกว่าไบเดน เป็นรองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐ มีประสบการณ์ทางการเมือง(เคยเป็น สว.รัฐแคลิฟอร์เนีย) มีความรู้ด้านกฎหมาย (เคยเป็นอัยการรัฐแคลิฟอร์เนีย) สามารถนำประเด็นทางกฎหมายมาหาเสียงได้ ขณะที่ทรัมป์ถูกฟ้องร้องในศาล 4 คดีที่ส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวกับผู้หญิง และด้วยการเป็นผู้หญิงคาดแฮร์ริสจะได้รับคะแนนจากผู้หญิง คนผิวสี และคนเอเชียและคนที่สนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง”

ศึกชิงผู้นำสหรัฐ ฉุดค้าโลกซบ “ทรัมป์” ขึ้นภาษีจีน ทุบส่งออก ลงทุน เที่ยวไทย

จุดเด่นดันจีดีพีมะกันโต

อย่างไรก็ดี ผลงานเด่นของรัฐบาลไบเดนที่มีแฮร์ริสเป็นรองประธานาธิบดี ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมสูงกว่าสมัยทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ยกเว้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงและเงินเฟ้อสูงกว่าสมัยทรัมป์ ขณะที่มูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สมัยทรัมป์มีการซื้อขายมากกว่าสมัยไบเดน (ทรัมป์ โชคไม่ดีเจอโควิดในช่วงปีสุดท้ายของการทำงาน) ส่วนจุดอ่อนของแฮร์ริสคือ 4 ปีที่ผ่านมาไม่มีผลงานชัดเจน โดยแฮร์ริสได้รับมอบหมายให้แก้ปัญหาชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก แต่ล้มเหลว เพราะคนเม็กซิกันยังเข้ามาในสหรัฐเพิ่มขึ้น

“หากแฮร์ริส ชนะการเลือกตั้งนโยบายคาดจะยังเหมือนเดิมเหมือนสมัยไบเดน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกยังมีเหมือนเดิม ราคานํ้ามันสูง เงินบาทไทยอ่อนค่า ราคาทองคำสูงขึ้น แต่ไทยและอาเซียนจะได้รับความสนใจจากสหรัฐมากขึ้น ผ่านกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก การส่งออกไทยจะยังทรง ๆ อยู่เหมือนในปัจจุบัน ต้นทุนการผลิตสูงเหมือนเดิม เพราะไทยถูกบังคับให้เลือกข้างในการซื้อนํ้ามัน”

ส่วนหากในที่สุดแล้วโดนัลด์ ทรัมป์ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดี สิ่งที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย และต่อโลก คือ สงครามการค้า และสงครามเทคโนโลยีสหรัฐ-จีน จะรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดการแยกส่วนของห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมโลก และจะกระทบต่อสินค้าส่งออกและอุตสาหกรรมไทย ราคาพลังงานยังอยู่ในระดับสูง เพราะสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกจะยังดำรงอยู่ต่อไปในกรณีของอิสราเอลกับตะวันออกกลาง

จับตาขึ้นภาษีจีนสะเทือนโลก

 รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการเมือง กล่าวว่า จากที่ทรัมป์ได้เคยประกาศว่า หากชนะเลือกตั้งจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกครั้งมากกว่า 60% และเก็บภาษีสินค้าจากทั่วโลกเพิ่มอีก 10% ซึ่งหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง และดำเนินนโยบายดังกล่าวจริงจะส่งผลกระทบต่อจีน ต่อไทย และต่อโลกในภาพรวม โดยในส่วนของจีน หากถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีกในอัตราสูงดังกล่าว อาจจะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจจีนที่เคยขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 5% อาจลดลงเหลือ 3%

ผลที่จะตามคือหากสหรัฐขึ้นภาษีสินค้าจีนและสินค้าจากทั่วโลกซึ่งรวมถึงไทย จะทำให้สินค้าในสหรัฐแพงขึ้น กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง เงินเฟ้อสูงขึ้น ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อ เศรษฐกิจของสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย หนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันสหรัฐมีหนี้สาธารณะมากกว่า 100% ต่อจีดีพี

ฉุดส่งออก ลงทุน เที่ยวไทย

 ทั้งนี้ธนาคารยูโอบีเคยวิเคราะห์หากเศรษฐกิจที่เคยโตเฉลี่ยปีละไม่ตํ่ากว่า 5% ลดลงเหลือ 3% หรือหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง เศรษฐกิจไทยและอาเซียนก็จะได้รับผลกระทบ จากจีนเป็นหนึ่งในตลาดหลัก (ไทยพึ่งพาการส่งออกไปตลาดจีนปี 2566 สัดส่วน 12% นำเข้าสัดส่วน 25%) ภาคท่องเที่ยวไทยก็พึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก (ปี 2562 ก่อนเกิดโควิด จีนเที่ยวไทยกว่า 10 ล้านคน จากภาพรวมเกือบ 40 ล้านคน) ขณะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนจากจีนได้ย้าย/ ขยายฐานการลงทุนมาไทย และเป็นนักลงทุนอันดับต้น ๆ ที่ลงทุนในไทย ณ เวลานี้

“ที่ต้องจับตาคือหากทรัมป์ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดี จะเล่นงานจีนหนักจริงหรือไม่ เพราะสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่เริ่มต้นในสมัยทรัมป์ พอเขาเล่นงานจีนโดยขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไประดับหนึ่งแล้ว ก็ต้องมาเจรจาประนีประนอม ต้องดูว่าพอเอาเข้าจริง ๆ เขาจะกล้าทำถึงขนาดนั้นหรือไม่(ขึ้นภาษีสินค้าจีนมากกว่า 60%) หากเขาทำตามที่พูดจะมีปัญหายุ่งไปหมด ไม่เป็นผลต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ การเติบโตของเศรษฐกิจจีน ซึ่งจะกระทบกับโลกและไทยพอสมควร”

ทรัมป์มาสงครามผ่อนคลาย

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากนางคามาลา แฮร์ริส ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ นโยบายที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย หรือกับโลกคงไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยไบเดนมากนัก โดยกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจของสหรัฐและเอเชียจะผ่านกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก แต่อาจทวีความเข้มข้นมากขึ้นเพื่อคานอำนาจจีน

ส่วนความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) สงครามรัสเซีย-ยูเครนจะยังยืดเยื้อ และยังไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร ความตึงเครียด ความขัดแย้งหลายหลายคู่ของโลกอาจปะทุขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นช่องแคบไต้หวัน ทะเลจีนใต้ หรือในคาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งตะวันออกกลางและยุโรป จะมีจุดที่อ่อนไหวหรือจุดที่มีโอกาสจะเกิดปัญหาและเกิดสงครามได้ง่าย และอาจถึงขั้นเป็นสงครามโลกได้

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

“แต่หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี มีนโยบายผลักดัน Make America Great Again โดยมองตัวเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งขนาดยังไม่ได้เป็นประธานาธิบดีทรัมป์ก็ทำเอาพันธมิตรในนาโต้ปวดหัวแล้ว เพราะเขาคิดอะไรแบบนักธุรกิจ โดยเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกนาโต้ต้องมีการเพิ่มงบประมาณในการป้องกันประเทศหรือการซื้ออาวุธเพิ่มขึ้นอีก 2% เป็นอย่างน้อยต่อสัดส่วนจีดีพีของแต่ละประเทศ และจะมีการเก็บค่าคุ้มครองไต้หวันจากจีน เป็นต้น”

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ดีของทรัมป์ คือไม่ยุ่งเรื่องการเมืองของประเทศต่าง ๆ เท่าใดนัก ทำให้อุณหภูมิของสงครามต่าง ๆ อาจจะลดได้เร็ว โดยทรัมป์เคยประกาศว่า ทันทีที่ได้เป็นประธานาธิบดีจะทำให้รัสเซียและยูเครนหยุดรบภายใน 24 ชั่วโมง โดยทรัมป์มองเรื่องผลประโยชน์ เรื่องของเศรษฐกิจ และธุรกิจเป็นตัวนำ ไม่ใช้การเมืองระหว่างประเทศเป็นตัวนำ น่าจะทำให้บรรยากาศและความตึงเครียดในเรื่องของสงครามผ่อนคลายลง ขณะที่หากเป็นแฮร์ริสที่สานต่อนโยบายไบเดนจะใช้เรื่องอินโด-แปซิฟิกคือ แบ่งขั้ว แบ่งข้าง ให้เลือกข้าง เพื่อจะบีบทั้งรัสเซียและจีนหนักขึ้น

ตลาดฯไม่ตอบรับแฮร์ริสนัก

 ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ หัวหน้าส่วนงานกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเลือกตั้งในสหรัฐ ที่มีการเปลี่ยนตัวเป็นนางกามาลา แฮร์ริส ลงชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีแทนไบเดน ตลาดไม่ได้ตอบรับนัก ซึ่งนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐคงไม่เปลี่ยนไปมากนัก แต่อาจจะเพิ่มโอกาสชนะ 41% แต่โดนัล ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันยังเป็นแคนดิเดตหลัก 60%

ขณะที่ภาพผลพวงจากการเลือกตั้งในสหรัฐ 3 เรื่อง ได้แก่ แรงกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่มากนัก สาเหตุจากภาระหนี้ของสหรัฐอยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว อีกทั้งพรรครีพับลิกันไม่เน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน, นโยบายเชิงเศรษฐกิจของสหรัฐอาจกลับไปใช้พลังงานฟอสซิลในระยะกลาง และระยะยาวอาจกดดันราคานํ้ามันลง และการกีดกันทางการค้าและนโยบายต่างประเทศ กดดันในแง่การค้าการลงทุนระดับหนึ่งและกดดันจีนซึ่งเป็นจุดที่ต้องติดตาม ส่วนผลต่อไทยน่าจะดีกว่าเดิม

กระแสหนุนทรัมป์มาแรง

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากนางแฮร์ริสได้รับการเลือกตั้งนโยบายคงไม่แตกต่างจากเดิม(ในสมัยประธานาธิบดีไบเดน) แม้อาจทำให้การเลือกตั้งมีความสูสีกันภายหลังการเปลี่ยนตัวผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ขณะที่ผลโพล ล่าสุด โดนัล ทรัมป์ยังมีคะแนนนำอยู่ มองว่าทรัมป์ ยังมีภาษีอยู่แต่ก็ต้องรอดูโค้งสุดท้าย ส่วนตัวเชื่อว่าในฝั่งของชาวอเมริกันนั้น อาจจะอยากให้ฝั่งรีพับลิกันเข้ามาช่วย เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

อย่างไรก็ตาม หากโดนัล ทรัมป์ชนะเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ อาจจะเป็นผลบวกต่อสหรัฐ แต่หากสงครามการค้าแรงขึ้น อาจส่งผลเชิงลบต่อประเทศอื่น ๆ และประเทศในภูมิภาคเอเชียและไทยอาจจะได้รับผลกระทบเชิงลบด้านการค้า ซึ่งอาจจะมีไม่กี่เซ็กเตอร์ที่จะได้ประโยชน์

หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4012 วันที่ 25 – 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2567