นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวคิดการจัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (National Credit Guarantee Agency: NaCGA)
ทั้งนี้ เพื่อยกระดับกลไกการค้ำประกันของภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพและสามารถส่งเสริมให้ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายได้ด้วยต้นทุนทางการเงินในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความเสี่ยงมากขึ้น
สำหรับ NaCGA จะมีสถานะเป็นนิติบุคคลที่เป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่เป็นทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการค้ำประกันมีความรวดเร็วและยืดหยุ่น พึ่งพางบประมาณจากภาครัฐน้อยลง อีกทั้งมีขอบเขตและรูปแบบการค้ำประกันที่มีความหลากหลายและมีกลไกการคำนวณค่าธรรมเนียมค้ำประกันที่อิงตามระดับความเสี่ยงของลูกหนี้ โดย NaCGA จะมีเป้าหมายและพันธกิจหลัก ดังนี้
1) ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ลดต้นทุนทางการเงิน ตลอดจนให้ความรู้และให้คำปรึกษาทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่มีหลักประกันไม่เพียงพอ โดยขอบเขตและรูปแบบการค้ำประกันของ NaCGA จะไม่จำกัดเฉพาะการค้ำประกันสินเชื่อจากธนาคารดังที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่จะครอบคลุมถึงกระบวนการเข้าถึงแหล่งทุนในรูปแบบอื่น ๆ เช่น ค้ำประกันแหล่งทุนจากสถาบันการเงินอื่นที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank) การค้ำประกันหุ้นกู้ของผู้ประกอบการ SMEs เป็นต้น
โดยค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันจะอิงตามระดับความเสี่ยงของลูกหนี้ (Risk-Based Pricing) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินในการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการ SMEs ได้ อีกทั้งการค้ำประกันสินเชื่อของ NaCGA จะเน้นการค้ำประกันโดยตรง (Direct Guarantee Approach) และรายสัญญา (Individual Guarantee)
ซึ่งลูกหนี้จะขอให้ NaCGA ค้ำประกันเครดิตของตน และเมื่อได้รับการค้ำประกันแล้ว ลูกหนี้สามารถเลือกธนาคารหรือ Non-bank ที่ให้อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่เหมาะสมกับบริบทของลูกหนี้มากที่สุด ซึ่งจะเพิ่มอำนาจในการต่อรองให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในการเข้าถึงแหล่งทุน นอกจากนี้ เพื่อให้การส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ครบวงจรและเบ็ดเสร็จ NaCGA จะทำหน้าที่ในการให้ความรู้และคำปรึกษาทางการเงิน เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายอีกด้วย
2) เป็นเครื่องมือเพื่อผลักดัน Strategic Direction ของประเทศตามนโยบายของภาครัฐและสนับสนุนให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศสามารถก้าวเข้าสู่บริบทโลกใหม่ โดย NaCGA สามารถผลักดันอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญของประเทศหรืออุตสาหกรรมที่รัฐบาลต้องการผลักดัน เช่น 8 อุตสาหกรรมภายใต้วิสัยทัศน์ Ignite Thailand เป็นต้น
“ด้วยโครงการหรือผลิตภัณฑ์ค้ำประกันเครดิตที่มีเงื่อนไขพิเศษ โดยมีคณะกรรมการกำกับนโยบาย ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนจากภาคเอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิ กำกับนโยบายและทิศทางขององค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายของภาครัฐในระยะยาวได้ ซึ่งจะทำให้ภาครัฐสามารถส่งผ่านนโยบายในการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศผ่านองค์กรนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
3) เป็นกลไกรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในกรณีที่เกิดภาวะวิกฤตและมีความเสี่ยงในระบบการเงินสูง ด้วยขอบเขตและรูปแบบการค้ำประกันที่หลากหลายกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน และด้วยโครงสร้างองค์กรที่มีความยืดหยุ่นทั้งในมิติของการกำกับดูแลและแหล่งเงินจากเงินสมทบจากรัฐบาล เงินสมทบจากผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อ และค่าธรรมเนียมจากผู้ขอรับการค้ำประกัน
ทั้งนี้ NaCGA จะทำให้ผู้ประกอบการ SMEs และประชาชนมีทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งทุนมากขึ้น และสามารถตอบสนองความต้องการในด้านสภาพคล่องได้อย่างทันการณ์ โดยเฉพาะในภาวะที่มีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจสูง เช่น กรณีที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นต้น
นายพรชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กลไกการค้ำประกันที่มีประสิทธิภาพจากการจัดตั้ง NaCGA จะนำไปสู่ระบบนิเวศน์ (Ecosystem) ใหม่สำหรับภาคธุรกิจไทย อันจะนำมาซึ่งประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน ดังนี้
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและการจ้างงานภายในประเทศ กระทรวงการคลังจึงมีความมุ่งหมายในการยกระดับส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งทุน โดยกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะร่วมกันหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและยกร่างกฎหมายจัดตั้ง NaCGA และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในระยะต่อไป”